โดย: รศ.ดร.สราวุธ จันทร์สุวรรณ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและเทคโนโลยีดิจิทัล
จาก Smart City สู่ Smart Campus: การนำแนวคิดมาสู่การปฏิบัติ
รองศาสตราจารย์ ดร.สราวุธ จันทร์สุวรรณ ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิด Smart City และ Smart Campus ว่ามาจากโอกาสที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เข้าร่วมประกวดเมืองอัจฉริยะระดับประเทศเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา และสามารถคว้าตำแหน่ง 1 ใน 7 เมืองอัจฉริยะได้ จากแผนงานที่มุ่งแก้ปัญหาเมือง โดยเฉพาะเรื่องการประหยัดพลังงาน
จากแผนงานดังกล่าว นิด้าได้นำแนวคิด Smart City มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของสถาบัน เพื่อให้เป็นเสมือน Living Lab หรือห้องปฏิบัติการมีชีวิตที่สามารถทดลองแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของเมืองในขนาดที่เล็กลง โดยใช้พื้นที่ของนิด้าเป็น Sandbox หรือพื้นที่ทดลองเพื่อทดสอบแนวคิดและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้ในบริบทที่ใหญ่ขึ้น
แนวคิดนี้ต่อยอดมาเป็น Smart Campus ซึ่งไม่ได้เน้นแค่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังรวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากร นักศึกษา และผู้เข้ามาใช้พื้นที่ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในสถาบันได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ความสำเร็จและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
รศ.ดร.สราวุธ ระบุว่าความสำเร็จของโครงการ Smart Campus สามารถวัดได้จากหลายมิติ:
- การศึกษาดูงาน: มีผู้สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันจากต่างประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น เข้ามาศึกษาดูงานที่นิด้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความน่าสนใจของโครงการ
- ความร่วมมือ: โครงการนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางในการสร้างความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งในและต่างประเทศ เช่น โครงการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานร่วมกับประเทศญี่ปุ่น และการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับบริษัทจากประเทศจีน
- การผลิตองค์ความรู้: นิด้าได้จัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ภายในสถาบัน เช่น การใช้พลังงาน การจราจร และคุณภาพอากาศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในงานวิจัย วิทยานิพนธ์ และการพัฒนา ตัวแบบเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ในเชิงนโยบาย ตัวอย่างเช่น การนำข้อมูลการใช้พลังงานมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางประหยัดพลังงาน หรือการนำข้อมูลคุณภาพอากาศมาปรับปรุงระบบระบายอากาศในอาคารเพื่อสุขภาวะที่ดีขึ้น
การบริหารจัดการเมืองด้วยข้อมูล (Data-driven City Management) จึงเป็นหัวใจสำคัญของโครงการนี้ เพราะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีหลักฐานเชิงประจักษ์
ความท้าทายและการนำไปประยุกต์ใช้
การเป็น Smart Campus ที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงแค่การติดตั้งอุปกรณ์และเทคโนโลยี แต่คือการใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความท้าทายสำคัญที่ต้องเผชิญคือ:
- การมองภาพที่ครบวงจร: ต้องพิจารณาให้ครบถ้วนตั้งแต่การลงทุนไปจนถึงค่าบำรุงรักษาในระยะยาว (life cycle) เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง
- การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด: เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ เราต้องใช้มันอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เทคโนโลยีเป็นฝ่ายควบคุมเรา
อย่างไรก็ตาม บุคลากรของนิด้าสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่นำข้อมูลไปใช้ในการบริหารจัดการอาคาร หรือนักศึกษาและอาจารย์ที่ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการทำวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างภาควิชาการกับการปฏิบัติอย่างแท้จริง
บทสรุป
โครงการ Smart Campus ของนิด้าไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการสร้าง ห้องปฏิบัติการมีชีวิต ที่รวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการบริหารจัดการและแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปิดโอกาสให้ทั้งบุคลากรและประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาเรียนรู้และนำข้อมูลไปต่อยอดได้ ซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม