โดย รศ.ดร.สาวิตรี คทวณิช
ที่ปรึกษาอธิการบดีด้านการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และอาจารย์ประจำคณะภาษาและการสื่อสาร
ในฐานะสถาบันที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่การเป็นสถาบันสรรสร้างทางปัญญาของสังคม สร้างผู้นำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากล ภายใต้ปรัชญา “Wisdom for Sustainable Development สร้างปัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เล็งเห็นถึงความสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 5 หรือ SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สตรีและเด็กหญิง เป้าหมายนี้มุ่งเน้นการมอบโอกาสที่เท่าเทียมกันแก่ผู้หญิงและผู้ชาย ในการพัฒนาตนเอง การใช้ชีวิต และการเข้าถึงทรัพยากร
นิด้า ในฐานะองค์กรการศึกษา มุ่งมั่นสร้างระบบและกลไกเพื่อลด อคติ และการแบ่งแยกทางเพศ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษา ซึ่งเป็นบันไดสู่ความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงการสร้างความก้าวหน้าอย่างทัดเทียมสำหรับบุคลากรภายใน โดยไม่กังวลเรื่องอคติทางเพศ ความเชื่อที่ว่าผู้ชายควรได้รับโอกาสมากกว่าในด้านการศึกษา การทำงาน และการเข้าถึงทรัพยากร ไม่ใช่แค่ความเชื่อเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นความเชื่อที่พบได้ทั่วโลก
ภาษาศาสตร์กับการสะท้อนอคติทางสังคม
เมื่อกล่าวถึง ภาษาศาสตร์ หลายคนมักนึกถึงเรื่องไวยากรณ์ แต่จริงๆ แล้วภาษาศาสตร์กว้างกว่านั้นมาก คือการสังเกตการใช้ภาษาในสังคมและผลลัพธ์ที่นำไปสู่ทัศนคติทางสังคม ทัศนคติที่สังคมมีว่าผู้ชายควรได้รับโอกาสในการศึกษาและก้าวหน้าทางวิชาชีพมากกว่าผู้หญิงนั้น แฝงอยู่ในภาษา ที่เราใช้ ภาษาไม่ได้แค่สื่อความหมายโดยตรง แต่ยังแฝงไว้ด้วยอุดมการณ์ วิธีคิด และการมองโลกบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น ในภาษาไทย ก่อนจะสนทนากัน เราต้องพิจารณาอายุและสถานะของคู่สนทนา เนื่องจากระบบคำสรรพนามและคำเลือกใช้ค่อนข้างซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องคำนึงถึงสถานภาพของตนเองในสังคมเมื่อเทียบกับคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา ว่าจะเป็น หนู หรือ พี่ หรือ ดิฉัน ในขณะที่ผู้ชายสามารถใช้คำว่า “ผม” ได้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ตาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงอาจถูกตอกย้ำสถานภาพของตนเองทุกครั้งที่พูด
คำนำหน้านามก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ในภาษาไทย ผู้ชายไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ใช้ “นาย” เสมอ ในขณะที่ผู้หญิงต้องใช้ “นางสาว” หรือ “นาง” ซึ่งผูกติดกับสถานภาพการสมรส การที่ภาษามีลักษณะเช่นนี้เป็นการย้ำเตือนให้ ตัวตนของผู้หญิงไปผูกติดอยู่กับสถานภาพสมรสอยู่เสมอ และตอกย้ำค่านิยมนี้ไปเรื่อยๆ
ภาษาและวาทกรรมทางเพศ
เมื่อเรามองว่าภาษาไม่ได้แค่สื่อความหมายตรงๆ แต่แฝงด้วยอุดมการณ์ เราจะใช้คำว่า วาทกรรม คือภาษาก่อให้เกิดผลบางอย่างต่อทัศนคติของสังคม ซึ่งในที่นี้คือ วาทกรรมทางเพศ หรือคือลักษณะภาษาที่สร้างทัศนคติที่ตอกย้ำความแตกต่างระหว่างเพศ อุดมการณ์ในสังคมที่ว่าผู้ชายมีโอกาสทางอาชีพมากกว่านั้นอาจสะท้อนอยู่ในระดับคำ หลายคำที่ใช้เรียกอาชีพหรือตำแหน่ง โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ เช่น คำลงท้ายด้วย “-man” อย่าง “Policeman”, “Businessman”, “Chairman” คำเหล่านี้ตีกรอบจินตนาการว่าอาชีพดังกล่าวเป็นอาชีพสำหรับผู้ชาย และในกรณีของ “Chairman” ยังสะท้อนถึง “เพดานกระจก” (Glass Ceiling) ที่ขัดขวางความก้าวหน้าของผู้หญิงไปสู่ตำแหน่งบริหารสูงๆ
นอกจากนี้ แม้ไม่มีคำว่า “-man” ภาพจำและ Stereotype ก็เกิดขึ้นได้ เช่น เมื่อพูดถึง “หมอ”, “ศาสตราจารย์”, “ศัลยแพทย์”, “วิศวกร”, หรือ “นักวิทยาศาสตร์” เรามักนึกถึงผู้ชายก่อน ในทางตรงกันข้าม อาชีพอย่าง “พยาบาล” หรือ “ครูอนุบาล” เรากลับนึกถึงผู้หญิงก่อน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สังคมมีการกำหนด “กล่อง” มาให้แล้วว่าผู้หญิงควรทำอะไร ผู้ชายทำอะไร
การปรับเปลี่ยนภาษาเพื่อลดอคติทางเพศ: Political Correctness Movement
ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา มีการตื่นตัวเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกว่า Political Correctness Movement
ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงภาษามีหลายรูปแบบ:
• การเลี่ยงใช้คำที่มีเพศกำกับ: ในภาษาอังกฤษ มีการเปลี่ยนจาก “Policeman” เป็น “Police officer” จาก “Chairman” เป็น “Chairperson”, และจาก “Spokesman” เป็น “Spokesperson” หรือ “House Speaker” เพื่อให้ตำแหน่งนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น
• การเพิ่มคำระบุเพศในภาษาไทย: ในภาษาไทย เมื่อพูดถึงอาชีพที่มักนึกถึงผู้ชายก่อน เช่น “แพทย์” หรือ “วิศวกร” เรามักจะเติมคำว่า “หญิง” เข้าไป เช่น “แพทย์หญิง” หรือ “วิศวกรหญิง” การเพิ่มคำว่า “หญิง” เข้าไปภายหลังนี้ทำให้รู้สึกว่าเป็นการพูดถึง “กรณีพิเศษ” ไม่ใช่ปกติ เพราะถ้าเป็นกรณีปกติจะหมายถึงผู้ชาย คำที่เติม “หญิง” เข้าไปนี้จึงเป็นคำที่ “อุดมการณ์อยู่ข้างใน” (Ideology Loaded)
• การรวมคำให้เป็นคำกลาง: ในบางอาชีพที่เคยมีคำแยกสำหรับผู้หญิงและผู้ชายคำว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เรียกว่า “Steward” (สำหรับชาย) และ “Stewardess” (สำหรับหญิง) ปัจจุบันใช้คำรวมเป็น “Flight Attendant” แทน เพื่อให้เป็นตำแหน่งที่เปิดกว้างสำหรับทั้งสองเพศ
สรุปคือ การลดอคติทางเพศผ่านภาษาสามารถทำได้โดย:
1. พยายามเลิกใช้คำที่ระบุเพศในชื่อตำแหน่ง/อาชีพ เช่น ตัดคำว่า “man” ออกไป หรือเลี่ยงไปใช้คำอื่น
2. ควบรวมคำที่แยกเพศสำหรับอาชีพเดียวกัน โดยหาคำกลางมาใช้แทน
3. ในภาษาไทย หากคำใดที่สังคมมีภาพจำว่าเป็นผู้ชายแน่ๆ อาจเติมคำว่า “หญิง” เข้าไป เพื่อสร้างทัศนคติใหม่ว่าอาชีพนี้ผู้หญิงก็ทำได้
ความหลากหลายทางเพศและการปรับเปลี่ยนภาษาเพิ่มเติม
การตื่นตัวเรื่อง Political Correctness Movement ยังส่งผลต่อการใช้ คำนำหน้านาม แต่เดิมผู้หญิงต้องเลือกระหว่าง “Miss” หรือ “Mrs.” แต่ปัจจุบันมีทางเลือกใหม่คือ “Ms.” (อ่านว่า มิซ) ซึ่งระบุว่าเป็นผู้หญิงเท่านั้น ไม่ได้ระบุสถานภาพสมรส และเทียบเคียงได้กับ “Mr.” ของผู้ชาย
นอกจากนี้ ในโลกปัจจุบันที่เรายอมรับว่ามี เพศทางเลือก มากมาย ระบบของสหประชาชาติ (UN) ได้เสนอคำนำหน้านามใหม่คือ “Mx.” (อ่านว่า เม็กซ์) ซึ่งใช้สำหรับบุคคลที่ไม่ต้องการระบุเพศ การมีคำนำหน้านามสำคัญเพราะเป็นการแสดงการให้เกียรติ
สำหรับ สรรพนามบุรุษที่ 3 ในภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องเลือกใช้ “he” หรือ “she” กลุ่มวัยรุ่นที่ตระหนักถึงความหลากหลายทางเพศมักเลือกใช้ “they” เพื่อกล่าวถึงบุคคลคนเดียว แม้จะขัดกับหลักไวยากรณ์เดิม แต่เป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ UN ยังได้เสนอทางเลือกอื่นคือใช้ “x” เฉยๆ เพื่อไม่ต้องระบุเพศ ความพยายามเหล่านี้ทั้งหมด ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 มาจนถึงปัจจุบัน คือการพยายามลดอคติทางเพศ เพื่อให้เรื่องความแตกต่างในเรื่องเพศไม่จำเป็นต้องถูกบ่งชี้ในภาษาเสมอไป
อคติทางเพศจากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
• ความเชื่อเรื่อง “ผู้หญิงพูดมาก”: หลายคนเชื่อว่าผู้หญิงพูดเยอะกว่าผู้ชาย แต่งานวิจัยหลายชิ้นกลับพบว่า ผู้ชายมักจะพูดเยอะกว่า ในบทสนทนาที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า สังคมอาจคาดหวังว่าผู้หญิงควรจะสงบเสงี่ยมพูดน้อย ดังนั้นแม้ผู้หญิงจะพูดเพียงเล็กน้อยก็อาจถูกมองว่าพูดเยอะแล้ว
• ความเชื่อเรื่อง “ผู้หญิงไม่เด็ดขาด”: ผู้ชายมักถูกมองว่าเด็ดขาดกว่าและการที่ผู้หญิงมักใช้ “tag question” เช่น “ใช่ไหม?” หรือ คำ hedges เช่น “อาจจะ…” ถูกมองว่าเป็นการแสดงความไม่เด็ดขาด แต่มุมมองทางภาษาศาสตร์ชี้ว่า การใช้คำเหล่านี้อาจเป็นความพยายามที่จะ ประนีประนอม และทำให้การสื่อสารเป็นปฎิสัมพันธ์ที่ราบรื่นเสมอภาค โดยให้โอกาสคู่สนทนาแสดงความเห็นไปด้วย ดังนั้น เวลาที่เรามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเพศ ลองถามตัวเองว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น และสิ่งที่เจอมามีความหมายแบบนั้นอย่างเดียวจริงหรือ
ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในสังคมด้วย GESI Framework
การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศเริ่มต้นจากการสำรวจตนเองและองค์กรที่เราอยู่ ว่ามีความตระหนักรู้มากน้อยแค่ไหน สามารถอ้างอิงกรอบแนวคิด GESI (Gender Equality and Social Inclusion) ซึ่งยืมมาจาก UK PACT ของสหราชอาณาจักร
• Level 0: GESI Blind (ตาบอด): คือการที่เรายังมองไม่เห็นว่าคนที่มีเพศหลากหลายมีความต้องการ วัตถุประสงค์ หรือปรารถนาที่แตกต่างกัน
• Level 1: GESI Voice (การรับฟัง): เป็นขั้นแรกของการตระหนักรู้ เมื่อเห็นความแตกต่างแล้ว เราต้องเปิดใจรับฟังความต้องการและความคิดเห็นของพวกเขามากขึ้น การศึกษาเรื่องภาษาจะช่วยให้เราเห็นว่าอคติและอุดมการณ์แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันและการสื่อสารได้อย่างไร
• Level 2: GESI Choice (ทางเลือก): หมายถึงการให้โอกาสคนทุกเพศทุกนามมีทางเลือก และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ได้
• Level 3: GESI Control (การควบคุม): เป็นระดับสูงสุดและดีที่สุด หมายถึงการให้คนทุกเพศทุกนามมีส่วนร่วมและมีบทบาทในการกำหนด การตัดสินใจ และการควบคุมการใช้ทรัพยากร เพื่อให้พวกเขาสามารถกำหนดทิศทางชีวิตของตนเองได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม จะต้องไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างมีอคติอีกต่อไป
เนื้อหาสาระสำคัญในวันนี้ทำให้เราเห็นว่า ภาษาและ ความเท่าเทียมทางเพศ นั้นมีความสำคัญและสัมพันธ์กันอย่างไร ภาษาทรงอิทธิพลในการกำหนดการรับรู้ โลกทัศน์ และความไม่เท่าเทียมทางเพศมาโดยตลอด และตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เราได้เห็นกระบวนการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงคำและการตีความใหม่ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศให้มากยิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยส่งเสริมความตระหนักรู้และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมสำหรับทุกคน