เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ธีทัต ชวิศจินดา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ (นิด้า)
SDG 16 ยืนอยู่บนสามเสาหลัก—สันติภาพ (Peace) ความยุติธรรม (Justice) และสถาบันที่เข้มแข็ง (Strong Institutions)—ซึ่งทำหน้าที่เป็น “โครงสร้างรองรับ” ให้การพัฒนาในมิติอื่น ๆ เดินหน้าได้จริง ในมุมของอาจารย์ผู้สอนกฎหมาย แกนกลางของการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้คือ หลักนิติรัฐ/Rule of Law และ “กฎหมายในฐานะเครื่องมือ” ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ คุ้มครองสิทธิ และเปิดทางให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างแท้จริง เมื่อกฎหมายทำหน้าที่เป็นโครงสร้าง ไม่ใช่เครื่องมือคุกคาม สังคมจึงมีรากฐานเพียงพอสำหรับสันติภาพระยะยาว
หากมองภาพรวมประเทศไทย ผศ.ดร.ธีทัตประเมินว่าเรา “ไม่แย่ แต่ต้องไปต่อ” ประเทศไทยมีความพยายามวางโครงสร้างรองรับสันติภาพ ความยุติธรรม และความร่วมมือทั้งในและระหว่างประเทศ ทว่าโจทย์ท้าทายยังชัดเจน โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงปัญหาคอร์รัปชันที่บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อความโปร่งใส ขณะเดียวกันตัวชี้วัดบางด้านสะท้อนความคืบหน้า เช่น การคุ้มครองเด็ก หรือมิติที่ไม่ใช่ปัญหาหลักอย่างการค้าอาวุธ แต่ตัวชี้วัดสำคัญอื่น ๆ อย่างอัตราการเสียชีวิตจากความรุนแรงและการเข้าถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียม ยังต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง
บทบาทของมหาวิทยาลัย—โดยเฉพาะคณะนิติศาสตร์—จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การถ่ายทอดความรู้เชิงทฤษฎี หากต้อง “ผลิตคน” ให้เห็นกฎหมายเป็นเครื่องมือคุ้มครองสิทธิของประชาชนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ: นักกฎหมาย ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา นิติกร และเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อออกไปปฏิบัติงานจริง พวกเขาต้องใช้กฎหมายเพื่อขยายการเข้าถึงความยุติธรรม ไม่ใช่สร้างกำแพงกีดกัน ความท้าทายของการเรียนการสอนจึงอยู่ที่การทำให้ผู้เรียน “ใช้เป็น” ไม่ใช่แค่ “รู้กฎหมาย” มหาวิทยาลัยควรสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางวิชาการ (safe zone) เปิดเวทีดีเบตและถกเถียงเชิงเหตุผลต่อประเด็นอ่อนไหว เพื่อให้ความเห็นต่างถูกแปลงเป็นฉันทามติที่ดีขึ้น พร้อมขยับบทบาทเชิงรุก สร้างเวทีสาธารณะและกลไกเชื่อมภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้ร่วมกันผลักดัน SDG 16 ในทางปฏิบัติ
ในมิติของตัวชี้วัด SDG 16 สาระจากการสนทนาชี้ให้เห็นจุดที่ “ยังแดง” และจุดที่ “เดินหน้า” ไปพร้อมกัน ด้านที่ต้องจับตาได้แก่ อัตราการเสียชีวิตจากความรุนแรง/อาชญากรรม ความโปร่งใสและการทุจริต และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ขณะที่ด้านคุ้มครองเด็กมีพัฒนาการเชิงบวก ภาพเช่นนี้ไม่ใช่เหตุให้ถอดใจ หากเป็นเข็มทิศให้สังคมระบุ “สนามทำงาน” ที่ต้องเร่งมือ
แม้มีวาทกรรมวิพากษ์ว่า SDGs เป็นเพียงเครื่องมือเชิงสัญลักษณ์หรือยอดดอยของตัวเลข แต่สำหรับ SDG 16 กรอบนี้ยังทำหน้าที่ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ให้ทุกภาคส่วนต้องลงมือจริง กฎหมายจึงไม่ควรถูกมองเป็นเงื่อนไขบีบคั้น หากเป็นโครงสร้างกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน เพื่อนำไปสู่สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็งสมชื่อ
ท้ายที่สุด ผศ.ดร.ธีทัตฝากไว้ว่า SDG 16 เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะนักกฎหมาย สิทธิ สันติภาพ และความร่วมมือคือเรื่องใกล้ตัว ประชาชนควรตระหนักสิทธิของตนเองและใช้กฎหมายอย่างสร้างสรรค์เพื่อพิทักษ์สิทธินั้น ส่วนคนรุ่นใหม่ในสายกฎหมายควรยึดกฎหมายเป็น “เครื่องมือรับใช้สาธารณะ” มากกว่ากำแพงปิดกั้น หากทุกภาคส่วนร่วมแรงกัน ประเทศไทยก็ยัง “ไปต่อได้” บนเส้นทางสู่ความยั่งยืนที่จับต้องได้