การวางแผนการเงินของผู้สูงอายุไทย

การวางแผนการเงินของผู้สูงอายุไทย (SDG 10)

โดย รศ.ดร.สันติ ถิรพัฒน์ (คณะบริหารธุรกิจ)

สังคมไทยกำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเกิดต่ำลง ภาพรวมเชิงโครงสร้างประชากรจึงเริ่มคล้ายประเทศพัฒนาแล้ว ปัญหานี้ยิ่งท้าทายเมื่อการบริหารจัดการภาครัฐยังมีจุดอ่อนหลายด้าน ส่งผลกระทบหมุนวนต่อกัน—ยิ่งแก่เร็ว ยิ่งบริหารยาก และยิ่งกดทับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะ “ผู้สูงอายุ” ที่ต้องพึ่งพา “เงินออมที่เพียงพอ” เพื่อดำรงชีวิตหลังเกษียณ

รศ.ดร.สันติ จึงลงมือศึกษาคำถามสำคัญ: อะไรทำให้ผู้สูงอายุ “รู้สึกว่า” เงินออมเพียงพอหรือไม่เพียงพอ และใครคือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ?

ทำไมต้องวิจัยเรื่องนี้

โจทย์ใหญ่มีทั้งระดับโครงสร้างและระดับปัจเจก ระดับโครงสร้างคือการทำให้รัฐมีประสิทธิภาพและพร้อมรับมือโลกที่เปลี่ยนเร็ว ส่วนระดับปัจเจกคือทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุ มีเงินออมเพียงพอ ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะ “ความพอ” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน งานนี้จึงวัดจาก มุมมองของผู้สูงอายุเอง (perception) แล้วค้นหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก “พอ/ไม่พอ”

การสำรวจครอบคลุมผู้สูงอายุใน 5 จังหวัดตัวแทนทุกภูมิภาค รวมทั้งกรุงเทพฯ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มรายได้น้อยและการศึกษามิได้สูง

สิ่งที่พบ: ปัจจัยไหน “พาให้พอ” หรือ “ทำให้ไม่พอ”

1) ปัจจัยประชากรพื้นฐาน (เป็นไปตามคาด)

  • รายได้ต่ำ → แนวโน้มเงินออม “ไม่เพียงพอ”
  • อาชีพรรับจ้าง/นอกระบบ → เสี่ยงออมไม่พอ
  • สุขภาพดี → ช่วยให้ “ออมเพียงพอ” มากกว่า

2) สิ่งที่ “น่าจะช่วย” แต่ในข้อมูลนี้ยังไม่เห็นผล

  • ความรู้ทางการเงินแบบมาตรฐาน ที่มักถูกใช้เป็นตัวชี้วัด พบว่า ไม่สัมพันธ์ชัดเจน กับความเพียงพอของเงินออมในกลุ่มตัวอย่าง
  • ความสามารถด้านการคิดรู้ (cognitive ability) ที่ต่างประเทศมักพบผลกระทบ งานนี้ ไม่พบผล ชัดเจนเช่นกัน

3) ใครคือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ

  • ผู้สูงอายุที่ มีภาระหนี้สิน และ รายได้ต่ำ ต้องการความช่วยเหลือด้านการจัดการทรัพย์สินอย่างชัดเจน
  • ประเด็นชวนคิด: กลุ่มที่มี ต้นทุนทางสังคมต่ำ (คาดว่าจะพึ่งพาเครือญาติ/ชุมชนน้อย) กลับ “ไม่” ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งอาจสะท้อนปัจจัยเชิงพฤติกรรมหรือความรู้สึก “หมดหวัง” ที่ควรศึกษาเชิงลึกต่อไป

ข้อคิดเชิงนโยบาย: ทำอย่างไรให้ “พอ” จริง ไม่ใช่เพียงคำแนะนำสวยงาม

จากผลการศึกษา รศ.ดร.สันติ เสนอแนวทางที่ควรพิจารณา

  1. ทบทวนนโยบาย “สอนความรู้การเงินทั่วไป”
    เมื่อข้อมูลชี้ว่าไม่เห็นผลชัด ควรปรับไปเน้น ทักษะจัดการหนี้ (debt literacy) ตั้งแต่ “ก่อนเกิดปัญหา” มากกว่ารอแก้หนี้เมื่อสายไป
  2. มาตรการเฉพาะกลุ่ม (tailor-made)
    เจาะไปที่กลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานนอกระบบ, ผู้มีหนี้, และเชื่อมโยงกับ สุขภาพ ซึ่งมีผลต่อความเพียงพอของเงินออมอย่างมีนัยสำคัญ
  3. เอื้อมให้ถึงกลุ่ม “ต้นทุนทางสังคมต่ำ”
    แม้เขาจะไม่ร้องขอ แต่คือกลุ่มที่อาจเปราะบางที่สุด ภาครัฐควรมีช่องทางเข้าถึงเชิงรุกและออกแบบการสื่อสาร/บริการที่สอดคล้องกับบริบทของเขา
  4. ยกระดับประสิทธิภาพและธรรมาภิบาลภาครัฐ
    เมื่อภาระการคลังด้านผู้สูงอายุจะเพิ่ม ขณะที่รายได้รัฐลดลงจากโครงสร้างประชากร รัฐจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับอนาคต

สรุป

ประเทศไทยแก่ตัวเร็ว ขณะความพร้อมทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงปัจเจกยังไม่สมดุล งานวิจัยนี้บอกเราว่า รายได้ อาชีพ สุขภาพ และหนี้ ส่งผลต่อความเพียงพอของเงินออม ขณะเดียวกัน “การสอนการเงินแบบกว้าง ๆ” อาจไม่พอ ต้องเน้น ทักษะจัดการหนี้ล่วงหน้า ออกแบบมาตรการเฉพาะกลุ่ม และเข้าถึงผู้ที่ไม่เอื้อมมาขอความช่วยเหลือเอง หากทำได้ ความเสี่ยงความเหลื่อมล้ำในวัยชราจะลดลง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ SDG10 ที่มุ่ง “ลดความเหลื่อมล้ำ” ในสังคม