หวยเกษียณ = ผ่าทางออกประเทศ?

Authors

รองศาสตราจารย์ ดร.พรเพ็ญ วรสิทธา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)

Published

NIDA Impacts ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2568
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/05/68-01-NIDA-Impacts.pdf


ความหวังใหม่ทางเศรษฐกิจหรือบททดสอบใหม่ของสังคมสูงอายุไทย?
เปลี่ยนเกมเดิมพันกาสิโนให้เป็นโอกาสของสังคมไทย

            ฟังมุมมองและข้อเสนอแนะจากนักเศรษฐศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร. พรเพ็ญ วรสิทธา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) นักวิจัยอาวุโสผู้ผลักดันแนวคิด “หวยเกษียณ” เพื่อสร้างความมั่นคงหลังเกษียณของคนไทยมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ

            หลังจากอาจารย์พรเพ็ญเกริ่นว่าแม้ไม่ได้เห็นด้วยกับการเล่นหวย แต่ได้เริ่มศึกษาเนื่องจากเห็นว่าหวยต้องมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้คนชอบเล่น ก็เล่าถึงที่มาที่ไปของไอเดียในการผูกการเล่นหวยเข้ากับเงินออมเพื่อการเกษียณ ว่าเริ่มต้นจากประสบการณ์ในการพบเห็นประชาชนสิงคโปร์ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำมีความสุข เมื่อรู้ว่ารัฐช่วยให้พวกเขามั่นคงขึ้นโดยการจัดระบบเงินไว้ให้ใช้หลังเกษียณ เพราะพวกเขาห่วงว่าถ้าไม่ได้ทำงานแล้วจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ซึ่งความตระหนักในเรื่องการให้ประชาชนมีเงินใช้หลังเกษียณยังมีน้อยมาก

            “เคยให้ลูกศิษย์ลงไปศึกษาพฤติกรรมการซื้อหวยสองหมู่บ้าน พบข้อมูลน่าตกใจว่าทั้งสองหมู่บ้านเล่นหวยปีละมากกว่าแสนบาท ในทางกลับกัน ถ้ารัฐให้เงินกองทุนหมู่บ้านละแสนต่อปี ชาวบ้านคงมีความสุขมาก เค้าไม่มีเงินออกแต่มีเงินซื้อหวยทำให้เราเกิดความคิดว่าน่าจะเปลี่ยนเงินหวยให้เป็นเงินออม ที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2550 เคยนำเสนอแนวคิดนี้ในงานสัมมนาใหญ่ จัดโดย คณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค การเงิน การคลัง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรากฏว่าคนฟังแล้วต่อต้านกันมาก เพราะเห็นกันว่าการซื้อหวยทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและหวยมืดเป็นอบายมุขที่ควรหลีกเลี่ยง การยอมให้เปลี่ยนเงินหวยเป็นเงินออมเป็นการส่งเสริมอบายมุข จากที่ได้มีการทำงานวิจัยสามชิ้น และมีการนำเสนอแนวคิดนี้ในที่ต่าง ๆ จนล่าสุดนำไปให้กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เสนอต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลนำไปปรับเปลี่ยนเป็น “หวยเกษียณ” ก็กลายเป็นว่าได้รับการยอมรับโดยถ้วนหน้า

            ความสำเร็จของหวยเกษียณในการเปลี่ยนเงินหวยเป็นเงินออมอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะผู้ซื้อหวยมีเหตุผลในการตัดสินใจคล้ายกับนักลงทุน เช่น ซื้อเพราะมีแรงบันดาลใจจากเลขเด็ดต่าง ๆ ไม่ใช่เพราะต้องการเสี่ยงโชคแบบลาภลอย หวยเกษียณเป็นหวยขูดแบบเลือกเลขไม่ได้ ผู้ซื้อก็ยังคงหันไปซื้อหวยแบบที่เลือกเลขได้อยู่ดี จึงคาดว่าหวยออนไลน์นอกระบบจะยังคงมีอยู่ต่อไป”

            อาจารย์พรเพ็ญเล่าต่อว่า “สลากออมทรัพย์ที่ออกโดยธนาคารของรัฐไม่ใช่ทางเลือกของผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากผู้ซื้อหวยไม่สามารถเลือกเบอร์ได้ โอกาสถูกรางวัลน้อย และมีความรู้สึกว่าเงินจม อีกทั้งเป้าหมายของโครงการคือยอดขาย ไม่ใช่จำนวนลูกค้า ทำให้ไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย และแม้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องการจะทำสลากเพื่อการเกษียณ แต่ติดข้อจำกัดทางกฎหมาย จึงทำได้แค่สลากระยะสั้น ไม่ส่งเสริมการออมระยะยาวอย่างแท้จริง”

โครงการเปลี่ยนเงินหวยเป็นเงินออมระยะยาวจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อสามารถดึงดูดให้ผู้ที่เคยใช้เงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล หวยใต้ดิน รวมถึงการเสี่ยงโชคออนไลน์ทั้งในระบบและนอกระบบ หันมาเลือกซื้อ สลากออมทรัพย์รัฐบาลเพื่อการเกษียณอายุ แทนการเสี่ยงโชคแบบเดิมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

            แนวคิดที่เคยเสนอคือการนำโมเดลแบ่งรายได้ของสลากกินแบ่งรัฐบาล มาใช้กับ ‘สลากออมทรัพย์เพื่อเกษียณอายุ’ แบ่งเป็น 3 ส่วน: เงินรางวัล ค่าบริหารจัดการ และกำไร ซึ่งจะนำไปลงทุนแบบกองทุนรวมและคืนให้ผู้ซื้อเมื่อเกษียณในรูปแบบบำนาญพร้อมผลตอบแทน เงินรางวัลควรอยู่ที่ร้อยละ 40-60 ของรายได้ต่อเดือนเพื่อแข่งขันกับหวย และลดค่าบริหารจัดการด้วยระบบดิจิทัล แม้รัฐบาลเห็นด้วยกับแนวคิดแต่ในที่สุดได้เปลี่ยนจาก ‘บำนาญ’ เป็น ‘บำเหน็จ และใช้ชื่อ ‘หวยเกษียณ’ แทน ทำให้หมดหวังในการทำสลากออมทรัพย์ที่ใช้เลขรางวัลเดียวกับหวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล”

            เมื่อถามถึงนโยบายกาสิโนและเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจารย์พรเพ็ญให้ความเห็นว่าเป็นการสะท้อนถึงมุมมองที่ต่างกัน ฝ่ายคัดค้านกังวลเรื่องผลกระทบทางสังคม ขณะที่ตนเองมองว่าเรื่องนี้คล้ายกรณี “ปลาหมอคางดำ” ที่ให้ทั้งผลผลิตและผลข้างเคียงจำนวนมาก ด้านรัฐบาลก็เห็นว่าเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ระยะยาว ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวซึ่งเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก รัฐบาลคาดว่าโครงการสามารถดึงดูดเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาทต่อแห่ง สร้างรายได้ปีละ 40,000–50,000 ล้านบาท เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวร้อยละ 5–20 และเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวจาก 40,000 เป็น 60,000 บาทต่อทริป แต่การตัดสินใจในนโยบายนี้ควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการออกแบบระบบกำกับดูแลที่รัดกุม เช่นเดียวกับหลายประเทศที่สามารถจำกัดผลกระทบทางสังคมได้ด้วยกฎหมายที่เข้มงวด

            “ถามว่ารัฐบาลควรทำอย่างไรจึงจะทำให้ประชาชนยอมรับการมีกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้ ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ เราต้องมองทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างรอบด้าน ด้านบวก กาสิโนที่อยู่ในรูปแบบเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สามารถสร้างรายได้ สร้างงาน และช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ เช่น ถนน ระบบขนส่ง ไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงานในภาคบริการ ด้านลบ คือความเสี่ยง ทั้งผลกระทบทางสังคม ปัญหาอาชญากรรม และแรงงานในอุตสาหกรรมกาสิโนที่อาจเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปราะบาง ผลสำรวจนิด้าโพลสะท้อนว่าประชาชนไม่ได้คัดค้านอย่างเด็ดขาด แต่มีความกังวลเรื่องปัญหาการพนันและความไม่มั่นใจในการกำกับดูแลของรัฐ โดยเฉพาะในบริบทที่ดัชนีคอร์รัปชันของไทยยังอยู่ในระดับสูง

หากรัฐบาลจะเดินหน้าจริง สิ่งสำคัญคือต้องไม่ขายเพียงแนวคิด ‘Responsible Gambling’ อย่างเดียว เพราะยังไม่เพียงพอต่อการเรียกความเชื่อมั่น แต่ควรเน้นแนวทาง ‘Dividend Gambling’ คือทำให้ประชาชนเห็นชัดว่ารายได้จากกาสิโนจะถูกจัดสรรกลับคืนสู่สังคมในรูปแบบใด

            ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือการนำรายได้ส่วนหนึ่งมาใช้สร้างระบบบำนาญที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ข้อมูลจาก Mercer พบว่า ไทยอยู่ท้ายตารางระบบบำนาญของโลกมาหลายปี และยังตามหลังหลายประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฉะนั้นหากมีการนำรายได้จากหวยหรือกาสิโนมาทำเป็นกองทุนบำนาญ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้ผู้สูงอายุและประเทศมากขึ้น นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็อาจได้รับการยอมรับมากขึ้น”