นานาทัศนะ ต่อ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม : มุมมองของนักกฎหมาย

นานาทัศนะ ต่อ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม : มุมมองของนักกฎหมาย

Authors

ผศ.ดร.ติณณ์ ชัยสายัณห์ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ NIDA

Published

NIDA Impacts ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2567
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/03/67-03-NIDA-Impacts.pdf


ในฐานะนักกฎหมาย อะไรคือความท้าทายและข้อกังวลต่อ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ภายหลังการบังคับใช้

ผศ.ดร.ติณณ์: ความท้าทายของ พ.ร.บ. สมรมเท่าเทียม อยู่ที่การเตรียมกฎหมายให้มีความชัดเจน หนึ่ง ประเด็นทางกฎหมายต้องชัดเจน เพราะเป็นการเปลี่ยนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวกฎหมายจึงค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนเพราะเป็นเรื่องของการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัว สอง ผลลัพธ์ที่จะเป็น “Impacts” ที่คาดการณ์กันว่าจะเกิดขึ้นกับสังคมไทย ซึ่งต้องรอดูต่อไป เพราะกฎหมายไม่ได้ทำแค่การเปลี่ยนคำจาก สามี-ภรรยา เป็น คู่สมรส ยังมีเรื่องของความเป็น บิดา-มารดาต่อบุตร ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้สืบสันดาน ยกตัวอย่าง กฎหมายครอบครัว ซึ่งจะต้องรื้อทั้งฉบับถ้ามีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

            ถ้า พ.ร.บ. ฉบับนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ การจดทะเบียนความสัมพันธ์ก็จะบังคับใช้กับคู่สมรสไม่ว่าเป็นเพศใด ภายใต้กฎหมายเดียวกัน มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ปัญหาที่เราสนใจคือ เมื่อกฎหมายแม่บทฉบับใหม่กำลังจะบังคับใช้แล้ว กฎหมายระดับรองก็จำเป็นจะต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท ซึ่งในร่างฯ ก็ระบุเงื่อนเวลาให้หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ทำการแก้ไขปรับปรุงระเบียบให้สอดคล้อง ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบว่าแต่ละหน่วยงานดำเนินการไปแล้วมากน้อยแค่ไหน รวมถึงภาคเอกชนเองซึ่งอาจจะยากที่จะบังคับให้ปรับสวัสดิการให้สอดคล้องกับตัวกฎหมาย ถ้าตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อการดูแลพนักงานให้ครอบคลุม ยกเว้นว่าจะมีการออกกฎหมายบังคับ อย่างไรก็ตาม องค์กรใดก็ตามที่ยังคงเลี่ยงปฏิบัติหรือเลือกปฏิบัติกับพนักงาน พนักงานเองก็สามารถจะต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิของตัวเองตามกฎหมายเช่นกัน

            การจดทะเบียนความสัมพันธ์ที่กลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานจะตามมาด้วยอีกหลาย ๆ เรื่องในอนาคต เช่น การจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ความเชื่อมโยงกับบุคคลที่สาม เช่น บุตร อันเกิดขึ้นจากการจดทะเบียนภายใต้กฎหมายฉบับนี้ สังคมก็ต้องช่วยกันพิจารณาว่าตรงไหนที่จะเป็นปัญหาหรือควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป

ที่ผ่านมาเคยพบความเข้าใจผิด (myth) อะไรบ้างที่สังคมมักยกขึ้นมาเป็นเหตุผลเพื่อโต้แย้ง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม

ผศ.ดร.ติณณ์: ในวงประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ผมเคยถูกถามและคิดว่าไม่ควรนำมาเป็นประเด็น คือเรื่อง “รักง่ายหน่ายเร็ว” จากข้อกังวลถึงอัตราการหย่าร้างที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ซึ่งผมมองว่าก็เป็นไปได้ แต่ตัวเลขการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะเกิดขึ้นจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เราควรให้ความสำคัญมากกว่ากับการที่คนคนหนึ่งได้ใช้สิทธิที่มีพึงมีพึงได้อย่างเต็มที่ อีกอย่าง การหย่าเป็นความยินยอมของสองฝ่าย

            นอกจากนี้ก็มีเรื่องของการฟ้องหย่า ซึ่งเป็นความกังวลจากหน่วยงานที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ผมเห็นว่าบางกรณีก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเกิด และในเมื่อมีกรณีให้เขามาใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เช่น ศาล ศาลก็ต้องมีหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับคู่สมรส ดังนั้น การที่คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนกันได้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรกังวลว่าเดี๋ยวก็หย่ากัน เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะใช้กฎหมายความสัมพันธ์ และสิ้นสภาพหรือสิ้นสุดความสัมพันธ์

มองอย่างไรถึงข้อกังวลเกี่ยวกับช่องว่างทางกฎหมายที่อาจจะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของบุตร ซึ่งปัจจุบันยังคงมีความเหลื่อมล้ำจากตัวกฎหมายรองที่ไม่ได้ให้ความเท่าเทียมกับคู่สมรสเพศเดียวกัน

ผศ.ดร.ติณณ์: นี่คือประเด็นใหญ่ที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด ว่าเมื่อสมรสกันได้แล้วลำดับต่อไปก็คือการมีบุตรได้ ซึ่งอนาคตก็จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายครอบครัว แต่ต้องอาศัยความพร้อมของสังคม แม้แต่หมอที่ผมได้เจอก็ยังไม่อาจจะตอบคำถามในเรื่องของการตั้งครรภ์ของคู่สมรสเพศเดียวกันภายใต้กฎหมายได้ เพราะการเกิดขึ้นของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขา

            เพราะโดย พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือที่เรามักเรียกกันว่า กฎหมายอุ้มบุญ ปัจจุบันยังไม่อนุญาตสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน เรื่องนี้จึงเป็นช่องว่างที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำอย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ว่าสิทธิในการสร้างครอบครัวของเพศหลากหลาย ยังไม่ครอบคลุมถึงความเป็นพ่อแม่ลูก

            กรณีของคู่สมรสหญิง-หญิง เรายิ่งสามารถมองได้หลายมุมมอง เพราะประเด็นการมีบุตรของคู่สมรสหญิง-หญิงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการตั้งครรภ์ได้ และยังมีประเด็นใหญ่ที่ผูกโยงไปสู่เรื่องของอำนาจการปกครอง นั่นคือ โดยในมาตรา 1536 ที่ขีดเส้นใต้ไว้ว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นคู่สมรสกับชาย (…) ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นคู่สมรส หรือเคยเป็นคู่สมรส เพราะฉะนั้นกรณีที่ผู้หญิงเป็นคู่สมรสจึงไม่เข้าเงื่อนไข ส่งผลให้การเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายจะตกอยู่กับผู้หญิงผู้ตั้งครรภ์แต่เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆ ว่าเด็กจะมีแค่แม่ ไม่มีพ่อ คู่สมรสหญิง-หญิงก็จะไม่เข้าเงื่อนไขที่จะเป็นบิดา เพราะกฎหมายไปไม่ถึง

            แน่นอนว่า พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ช่วยผลักดันในเรื่องของการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ สร้างความเข้าใจสิทธิขั้นพื้นฐานในการก่อตั้งครอบครัว แต่ในอีกด้านก็มีข้อกังวลทั้งจากสังคมและวงวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อมิติครอบครัว การมีบุตร สิทธิทางการปกครองเหนือบุตร มรดก สวัสดิการ ซึ่งต้องรอดูกันต่อไป

ผศ.ดร.ติณณ์: ในเรื่องของการขยายสิทธิต่าง ๆ เวลานี้ผมเริ่มเห็นภาคธุรกิจทำแคมเปญการกู้ร่วมซื้อบ้าน เมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้วก็สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้ หรือประกันภัยซึ่งคู่สมรสเพศเดียวกันจะสามารถรับผลประโยชน์แทนกันได้ รวมถึงการลดหย่อนภาษีซึ่งผมตอบได้ว่าจะมีผลทันที

            อย่างไรก็ตาม เรากำลังพูดกันถึงกฎหมายลูกต่าง ๆ เช่น ในด้านสวัสดิการ อย่าง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ที่จะต้องปรับแก้ให้รับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาล ทุนเล่าเรียนบุตร และเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต รวมถึงบำนาญ เงินสงเคราะห์ ซึ่งผูกโยงกับงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เราคงเคยได้ยินกันบ้างว่าที่ชะลอการบังคับใช้กฎหมายเพราะเรื่องของงบประมาณ จึงต้องรอดูกันต่อไปในภาคของการปฏิบัติ