Published
NIDA Impacts ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2567
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/03/67-03-NIDA-Impacts.pdf
NIDA Impacts ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2567
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/03/67-03-NIDA-Impacts.pdf
ดร.จเร: กฎหมายฉบับนี้มีหลายแง่มุมที่คาบเกี่ยวกันในเรื่องของความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางเพศ รวมถึงวัฒนธรรมประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองต่อคำว่า “ครอบครัว” เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงของตัวกฎหมาย อันดับแรกก็คือการเอาคำว่า “ชาย-หญิง” ออกไป แล้วใช้คำว่า “คู่สมรส” ซึ่งต้องเข้าใจถึงที่มาที่ไปที่เริ่มต้นเมื่อประมาณ 22 ปีที่แล้ว จากแนวความคิดที่จะจดทะเบียนรับรองคู่ชีวิต เขาใช้คำว่า “กฎหมายรับรองคู่ชีวิต” ในตอนนั้นมีตัวแทนของกลุ่มประชาคมความหลากหลายทางเพศ คือคุณนที ธีระโรจนพงษ์ (คนรุ่นเก่าจะรู้จักในนาม เกย์นที) เป็นหัวหอก หลังจากเหตุการณ์ที่จะจดทะเบียนกับคนรักที่สำนักงานเขตแล้วสำนักงานเขตไม่จดทะเบียนให้
กฎหมายนี้ถูกเรียกว่า การสมรสเท่าเทียม ซึ่งทำให้เราเชื่อมโยงถึงความเสมอภาค แต่จริง ๆ แล้วตัวกฎหมายสมรสเท่าเทียมคือการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อเอาเรื่องเพศสภาพออกไป เพศสภาพก็ไม่เป็นอุปสรรค ย้อนกลับไปที่กรณีของคุณนทีที่ไปฟ้องศาลว่าการห้ามคนรักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสกันขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นก็มีมติออกมาแล้วว่า การห้ามไม่ขัดต่อหลักนิติ เพราะว่าเขาใช้มุมมองแบบเรื่องธรรมชาติ nature vs. culture สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คือเพศสภาพ แต่เพศสภาพก็เชื่อมโยงกับลักษณะทางสังคมหรือทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเพศกำเนิด (Biological sex) เราอยู่ในสังคมที่มองเรื่องของความแตกต่างระหว่างเพศอยู่ในกรอบของเพศทวิลักษณ์หรือคู่ตรงข้าม (Gender binarism) ซึ่งในอดีตเราไม่ได้มองแบบนี้แต่รับความคิดแบบฝรั่งมา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงตีกรอบอยู่เฉพาะชายกับหญิง
การที่คนรักเพศเดียวกันได้รับสิทธิในการจดทะเบียนสมรสเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือเป็นการได้รับการรับรองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางกฎหมาย ซึ่งผมพูดไว้ในวิทยานิพนธ์เมื่อ 15-16 ปีที่แล้วด้วยซ้ำไปว่า การรับรองความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันคือการทำให้คนรักเพศเดียวกันมีตัวตนทางสังคม มันคือหมุดหมายว่าเขามีตัวตนและมีความเสมอภาคทางสังคมกับคนรักต่างเพศ การเอาระบบเพศทวิลักษณ์ออกไปได้จากกฎหมายจะสามารถช่วยเพิ่มเติมสิทธิให้กับกลุ่มคนที่เราอาจจะเรียกว่า คนส่วนน้อยทางเพศ หรือว่าคนที่แตกต่างจากคนที่มีเพศแบบทั่ว ๆ ไป ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Cisgender เช่น กลุ่มคนที่เป็นคนข้ามเพศหรือ Transgender ก็จะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
ยกตัวอย่าง สวัสดิการทางสังคมซึ่งเดิมให้ความช่วยเหลือตามกรอบเพศทวิลักษณ์ ก็คือชายกับหญิงเท่านั้น เช่น สิทธิการลาคลอด 90 วันตามกฎหมาย คือมองความเป็น “ครอบครัว” แบบที่เราเรียกว่า รักต่างเพศเป็นบรรทัดฐาน (heteronormative family) การที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงเป็นจุดตั้งต้นที่จะเปิดประตูบานอื่น ๆ เช่น กฎหมายอีกฉบับที่กำลังผลักดันในกลุ่มคนข้ามเพศก็คือกฎหมายรับรองเพศสภาพ หรืออัตลักษณ์ทางเพศสภาพ ซึ่งในต่างประเทศจะตรงกันข้ามกับเราคือกฎหมายตัวนี้จะผ่านก่อน อย่างน้อยที่สุดคนที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าเป็น Gender dysphoria หรือว่ามีภาวะข้ามเพศ ซึ่งสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าในเอกสารทั้งหมดได้ ในบางประเทศทางตะวันตกจะแก้สูติบัตรให้ด้วย แม้แต่ประเทศที่ไม่คิดว่าจะทำให้อย่างอิหร่าน
ขณะที่บ้านเราเริ่มจากสมรสเท่าเทียม แน่นอนว่าก็มีหลายประเด็น เช่น ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของกลุ่มคน LGBTQ+ ที่กลุ่มคู่รักชาย-ชายจะมีเสียงดังกว่ากลุ่มทรานส์และคู่รักหญิง-หญิง ดังนั้น แม้จะบอกว่ากลุ่ม LGBTQ+ เป็นกลุ่มก้อนที่ขับเคลื่อนเรื่องของสิทธิเพื่อความหลากหลายทางเพศ ก็ไม่ได้มีความเท่าเทียมกันในความเป็นจริง
ดร.จเร: คำว่า ความเสมอ มีคำอยู่สองคำที่เกี่ยวข้อง คือ “เสมอภาค” กับ “เท่าเทียม” ซึ่งในสังคมเราใช้กันอย่างสับสน จริงๆ แล้วคำว่า เสมอภาค กับ เท่าเทียม ไม่เหมือนกัน เท่าเทียม หมายถึง 100 แบ่งกันคนละ 50-50 ส่วน เสมอภาค ไม่จำเป็นจะต้อง 50-50 ขึ้นอยู่กับว่าต้องการจะเอื้อหรือส่งเสริมให้คนบางกลุ่มซึ่งเสียเปรียบทางสังคม หรือถูกละเลยมาตลอดจนทำให้ไม่สามารถมีโอกาสในการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน ยกตัวอย่าง การเสริมพลังสตรี Women’s Empowerment ในสังคมแบบพวกเราหรือสังคมผู้ชายเป็นใหญ่
กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีในแง่ที่มองถึงกลุ่มคนที่มีเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่เป็นทรานส์ด้วย ความน่าสนใจก็คือคนที่ได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ควรจะเป็นทุกคนไม่เฉพาะแต่เพศหลากหลาย เพราะผู้ชายเองก็ถูกเลือกปฏิบัติเพราะความเป็นเพศเหมือนกัน ผมเคยศึกษากลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในสวนในจังหวัดสมุทรสงคราม ผู้ชายทำสวนมะพร้าว ส่วนผู้หญิงทำงานโรงงาน ผมสนใจว่าทำไมผู้ชายไม่ไปทำงานโรงงานด้วย เขาก็บอกว่าโรงงานไม่จ้างผู้ชายเพราะชอบมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง นี่คือคำถามว่าแล้วทำไมเราไม่ใช้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. ฉบับนี้
การประชาสัมพันธ์ให้สังคมได้รับรู้ทั่วถึงก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องทำการสื่อสารกับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างไร
ดร.จเร: ตัวกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นแค่จุดตั้งต้น โดยระบุว่าให้เวลา 180 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้หน่วยงานราชการที่กำกับดูแลกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิของคู่สมรส ปรับแล้วเสนอเข้ามาที่รัฐบาลเพื่อจะนำไปปรับแก้กฎหมายต่อไป ดังนั้น ไม่ได้หมายความสิทธิต่างๆ จะได้รับทันที แม้แต่เรื่องของสวัสดิการต่างๆ ก็ตาม เพราะเขียนไว้แค่ว่าให้ปรับใช้สิทธิเหมือนกับคู่สมรสชาย-หญิงไปพลางๆ และเรื่องของวัฒนธรรมก็ยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญว่าอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างการยอมรับ รวมถึงเรื่องของการมองโลกของความเท่าเทียม เพราะจริงๆ ไม่ใช่แค่ประเด็นของ LGBTQ+ จากการเก็บข้อมูลแบบสอบถาม น่าตกใจว่ากลุ่มที่ศึกษามองว่าผู้หญิงต้องเสียสละเพื่อครอบครัว ต้องอดทนเมื่อถูกสามีทำร้าย นี่คือความเป็นจริงแม้ว่าสังคมเราค่อนข้างก้าวหน้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
เรื่องของสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ในองค์กร กรณีของนิด้าเองก็มีคำถามเช่นกันว่าได้มีการผลักดันให้กับคู่สมรส คู่ชีวิตของพนักงานที่เป็นคนรักเพศเดียวกันแค่ไหนอย่างไร ผมเองอยู่ในคณะทำงาน SDGs เป้าหมายที่ 5 ที่เน้นแคมเปญกับผู้หญิงมากกว่า แต่ก็เป็นสิ่งที่นิด้าพยายามอยู่แม้ว่าจะยังไม่มีนโยบายออกมา เราปฏิบัติต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างเสมอภาค ในแง่ของการให้ความเสมอภาคหรือความเท่าเทียม
ดร.จเร: ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่น่ากังวลเพราะเขาตระหนักรู้และโตมากับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล แต่กลุ่มเจเนเรชันเอ็กซ์ขึ้นไปนั้นยังติดกับดักเรื่องเพศทวิลักษณ์ กฎหมายจึงนี้ต้องดำเนินไปควบคู่กับการเปิดพื้นที่ทางสังคมโดยผ่านวัฒนธรรมประชานิยม เพราะเป็นการทำสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งมันไม่มีตัวตนหรือพูดไม่ได้ เมื่อสังคมเปิดกว้างมากขึ้น ยอมรับความหลากหลายมากขึ้น ผู้คนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติมากขึ้น
แต่แน่นอนกระแสสังคมก็สวิงกลับไปมาได้ เมื่อสังคมเปิดกว้างไปสุดทางแล้ว มันก็จะสวิงกลับไปสุดทาง อย่างที่เราเห็นในสหรัฐอเมริกาหรือในยุโรป ซึ่งในตอนนี้มีกลุ่มขวาจัด (the right of the right) ที่พยายามเอาแนวคิดแบบเพศทวิลักษณ์กลับมาอีก แล้วก็พยายามบอกว่ากลุ่มคนที่เรียกร้องความหลากหลายเป็นพวก woke ซึ่งมาจากการที่การมีตัวตน ศักดิ์และสิทธิ์ของเขามันถูกสั่นคลอน ดังนั้น เราที่เป็นสถาบันการศึกษาและก็เป็นเป็นเสาหลักที่สร้างความรู้ให้กับสังคม ก็ต้องยืนหยัดในอุดมการณ์เรื่องความแตกต่างหลากหลายนี้ ว่าสังคมไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง และต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างด้วย