Published
NIDA Impacts ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2568
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/05/68-01-NIDA-Impacts.pdf
งานวิจัยฉบับเต็ม
https://libdcms.nida.ac.th/thesis6/2561/b204756e.pdf
NIDA Impacts ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2568
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/05/68-01-NIDA-Impacts.pdf
งานวิจัยฉบับเต็ม
https://libdcms.nida.ac.th/thesis6/2561/b204756e.pdf
ขอบเขตการวิจัย
งานวิจัยนี้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเล่นการพนันฟุตบอลของเยาวชนไทย โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มนักเรียนในสถาบันอาชีวศึกษาในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 382 คน เนื่องจากพบว่าเยาวชนกลุ่มนี้มีแนวโน้มเล่นพนันฟุตบอลมากกว่าเยาวชนกลุ่มอื่น ๆ ผลการศึกษาใช้กรอบแนวคิดที่แบ่งปัจจัยออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานของเยาวชน การควบคุมตนเอง พันธะทางสังคม การเรียนรู้ทางสังคม และช่องทางการเล่น โดยใช้แบบสอบถามและการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาความสัมพันธ์ของแต่ละปัจจัยกับพฤติกรรมการเล่นพนันฟุตบอล
ข้อค้นพบจากงานวิจัย
ผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจัยพันธะทางสังคม มีผลมากที่สุดต่อการยับยั้งพฤติกรรมการพนัน โดยเฉพาะด้านความผูกพันต่อครอบครัวและการยึดมั่นในศีลธรรม เช่น การไม่อยากทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียงหรือความรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนดี รองลงมาคือ ปัจจัยการเรียนรู้ทางสังคม โดยพบว่า การได้รับการสนับสนุนหรือเสริมแรงจากคนรอบข้าง เช่น การชมว่าทายผลบอลเก่ง หรือไม่มีใครตำหนิเมื่อเล่นพนัน มีผลทำให้เยาวชนมีแนวโน้มเล่นพนันฟุตบอลมากขึ้น สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ที่พบว่า พันธะทางสังคมมีความสัมพันธ์เชิงลบสูงสุด ขณะที่การเรียนรู้ทางสังคมมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อพฤติกรรมการพนัน หมายความว่าเยาวชนที่มีความใกล้ชิดหรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจะมีแนวโน้มเล่นพนันน้อย และการเรียนรู้ในเรื่องการพนันจากคนรอบข้างจะส่งผลให้มีการเล่นพนันมากขึ้น
ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย
งานวิจัยนี้ ปัจจัย เช่น พื้นฐานของเยาวชน การควบคุมตนเอง และช่องทางการเล่น ไม่ได้แสดงแนวโน้มความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับพฤติกรรมการเล่นพนันฟุตบอล ต่างจากงานวิจัยในต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้ ยิ่งในยุคที่เยาวชนสามารถเข้าถึงการพนันผ่านมือถือหรือออนไลน์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่การเรียนออนไลน์แพร่หลาย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางป้องกัน เช่น การสร้างความเข้มแข็งให้พันธะทางสังคม และลดการเรียนรู้หรือเลียนแบบพฤติกรรมการพนันในกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นระบบ
ความเห็นและมุมมองต่องานวิจัย และนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
โดย อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: รองศาสตราจารย์ ดร. ประพนธ์ สหพัฒนา
งานวิจัยนี้เป็นวิทยานิพนธ์ในปี 2561 ซึ่งหัวข้อการเล่นพนันในกลุ่มเยาวชน มุ่งเน้นที่นักเรียนอาชีวศึกษาและการพนันฟุตบอล ยังเป็นประเด็นที่ยังไม่ล้าสมัย ตัวเลขน่าสนใจคือสถิติการเล่นพนันออนไลน์มีถึงเกือบร้อยละ 60 ในช่วงเวลานั้นจากกลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมเล่นพนันทั้งหมด ซึ่งเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกมากตามข้อมูลการวิจัยของออสเตรเลียที่ชี้ว่า ช่องทางการเข้าถึงการพนันที่สะดวกจะทำให้มีโอกาสเล่นพนันมากขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งคืองานวิจัยที่ศึกษาสถิติการเล่นพนันของเยาวชนในช่วงฟุตบอลโลก โดยให้นิยามของเยาวชนว่าเป็นผู้ที่มีอายุ 12-24 ปี พบว่า มีการเล่นพนันกันถึงร้อยละ 88.3 แสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของการเล่นพนันฟุตบอลในช่วงฤดูการแข่งขันใหญ่ ๆ ถ้ารวมรายการแข่งขันที่จัดบ่อยกว่าฟุตบอลโลกอย่างฟุตบอลของยุโรป หรือรายการที่มีอยู่เป็นประจำในระดับทวีปหรือประเทศ จะเห็นถึงโอกาสของเยาวชนหรือบุคคลทั่วไปในการเล่นพนันฟุตบอลที่เปิดกว้างและมีความถี่มาก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเล่นพนันที่ข้อมูลจากงานวิจัยในต่างประเทศค้นพบจากการศึกษานั้น โดยภาพรวมอาจแบ่งได้เป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่มีผลต่อการเล่นพนันของเยาวชน คือ
• ความสะดวกในการเข้าถึง กล่าวคือ หากสามารถเข้าถึงได้ผ่านเครื่องมืออุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อปได้อย่างง่ายดาย จะส่งผลให้มีการเล่นพนันมากขึ้น
• ความเชื่อหรือค่านิยมเกี่ยวกับการพนัน กล่าวคือ การมองว่าการพนันเป็นเรื่องปกติหรือไม่ หากมองว่าเป็นเรื่องที่ปกติในสังคม หรือคนทั่วไปก็เล่น จะทำให้มีแนวโน้มที่จะเล่นพนันสูงขึ้น รวมถึงความเชื่อต่อศาสนาก็มีผลต่อความเชื่อของคนที่ทำให้ไม่เล่นการพนัน
• นอกจากนี้คือ ความสัมพันธ์ที่มีต่อครอบครัว ที่หากมีความใกล้ชิดและได้รับความอบอุ่นจากบุคคลในครอบครัว จะทำให้มีแนวโน้มที่เล่นพนันน้อย
• การใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ การประพฤติตนอยู่ในกฎระเบียบ จะเหนี่ยวรั้งให้ไม่ใช้เวลาไปกับการเล่นพนัน แต่จะไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่า
• สภาพแวดล้อม ทั้งเพื่อน บุคคลใกล้ชิดนั้น เป็นผู้ที่เล่นหรือไม่เล่นพนัน ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนหรือบุคคลทั่วไปในการเข้าสู่วงจรการเล่นพนัน
เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์กับการพนันออนไลน์ เป็นโครงการซึ่งมีผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับเยาวชน อย่างหลังนั้นจะยังเป็นเรื่องในขั้นถัดไปต่อจากเรื่องสถานบันเทิงครบวงจรที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งหลายประเทศก็ได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการพนันออนไลน์ที่อาจไม่สามารถรับมือได้ไว้มากมายแล้ว ทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม ทั้งผลกระทบทางสังคมและด้านเศรษฐกิจต่อประชาชน ฝ่ายที่สนับสนุนนโยบายนี้จะให้เหตุผลว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นล้านบาท เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจสร้างงานอีกจำนวนมาก ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะประเทศไทยมีภาคการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักอยู่แล้ว สิ่งสำคัญของฝ่ายที่ไม่ได้สนับสนุนนโยบายนี้หรือมีความเห็นต่อต้าน คือการสร้างความชัดเจนในเรื่องมาตรการควบคุมดูแลกาสิโน รวมทั้งกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เพราะเรารู้ดีว่ากฎระเบียบต่าง ๆ ในบ้านเมือง ยกตัวอย่าง การห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้า การพนันในรูปแบบต่าง ๆ การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษา ล้วนแต่มีการฝ่าฝืนให้เห็นอยู่เสมอ ฉะนั้นมาตรการต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ.ฯ จึงถูกตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ หรือมีช่องโหว่หรือไม่อย่างไร อาทิ การคัดกรองคนไทยผู้มีสิทธิ์เข้าเล่นกาสิโนว่าจะต้องมีเงินฝากในบัญชีธนาคารไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท รวมถึงอายุที่ต้องไม่ต่ำกว่า 20 ปี เป็นต้น
ฉะนั้นรัฐบาลจะต้องกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารในภาคการพนันกับเศรษฐกิจว่าควรไปทางทิศทางไหน จะดำเนินการกาสิโนอย่างไรให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งเราได้เห็นบางประเด็นในตัวร่าง พ.ร.บ.ฯ แต่ในรายละเอียดจะต้องมากำหนดกันให้ชัดเจนในกฎหมายลูกในระดับต่าง ๆ หลังจาก พ.ร.บ. ฯ มีผลบังคับใช้แล้ว เช่น การควบคุมการประกอบสถานบริการครบวงจร โดยเฉพาะกาสิโน ที่จำเป็นจะต้องลงรายละเอียดในส่วนของสถาบันและคณะกรรมการที่มีอำนาจกำกับดูแลกิจการ อาทิ ใบอนุญาต การตรวจสอบและเก็บข้อมูลผู้ให้บริการ การกำหนดเกณฑ์การเล่น จำนวนผู้เล่น และเวลาในการเล่น การกำหนดประเภทของการพนันที่ต้องมีการระบุไว้ว่าจะเล่นได้ในกาสิโน การจัดการระบบที่ต้องตรวจสอบได้และรายงานผลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ฯลฯ
นอกจากนี้รัฐบาลยังจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือและดูแลผลกระทบทางสังคมที่ตามมา ทั้งจากผู้ติดการพนัน รวมถึงการก่ออาชญากรรมที่จะเพิ่มจำนวนขึ้น รวมทั้งการป้องกันค่านิยมที่ส่งเสริมให้เยาวชนเล่นการพนัน เพราะผลกระทบต่อเยาวชนจากการเล่นพนันนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก รัฐบาลจะต้องแบ่งสรรงบประมาณในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคมเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานของกาสิโนและเฝ้าติดตามผลกระทบจากการเล่นพนัน สิ่งนี้ถือเป็นความขัดแย้งกันเองในสังคมที่ยอมรับให้การพนันเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
“คล้าย ๆ กับการไม่ส่งเสริมให้ดื่มสุราแต่รัฐยังคงได้รับรายได้จากการจำหน่ายสุรา แต่รัฐต้องให้ความสำคัญทั้งในแง่ของงบประมาณและกระบวนการตรวจสอบ ขณะที่การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพนันเองก็อาศัยเวลา เพราะจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างสภาพแวดล้อมของครอบครัวและโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็กและเยาวชน รัฐบาลต้องให้น้ำหนักกับผลกระทบของการพนันมากกว่า แม้ว่าประโยชน์ที่ได้จากกาสิโนนั้นจะมีอยู่บ้าง เราต้องรู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่สร้างผลกระทบเชิงลบในระยะยาวกับสังคม เราจึงต้องเตรียมการให้เข้มงวด และจริงจังในการควบคุมผลกระทบนั้น”