Published
NIDA Impacts ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – ตุลาคม 2568
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/12/68-02-NIDA-Impacts.pdf

NIDA Impacts ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – ตุลาคม 2568
https://nida.ac.th/wp-content/uploads/2025/12/68-02-NIDA-Impacts.pdf
อาจารย์สันติ: การรวมกลุ่มของอาเซียนเริ่มต้นด้วยความพยายามสร้างความมั่นคงภายในภูมิภาคเป็นอันดับแรก แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นมิติที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกันไว้ ในด้านการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในภูมิภาค แต่ในความเป็นจริงกลับไม่สามารถดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ได้ ปัจจัยสำคัญก็คือความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพที่มีได้อย่างเต็มที่
แต่ต้องยอมรับว่าการเกิดขึ้นของอาเซียนก็ทำให้เกิดกลไกทางการค้าที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงความร่วมมือทางด้านพลังงาน และการเงิน ทั้งนี้ อาเซียนยังถือเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ที่สำคัญของไทย
อาจารย์ยุทธนา: เวลากล่าวถึงมิติด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศนั้น ต้องเข้าใจว่าแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) หรือ FDI และการลงทุนในตลาดเงิน (Portfolio Investment) กล่าวคือ การลงทุนในตลาดหุ้นและการลงทุนซื้อพันธบัตรซึ่งกันและกัน โดยจุดแข็งสำคัญของอาเซียนคือการมีประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย จึงนับว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ของโลก อีกทั้งยังเป็นภูมิภาคที่อยู่ในช่วงของการเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ขณะที่จุดอ่อนของอาเซียนคือการขาดเทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นเอง จึงยังจำเป็นต้องพึ่งพาประเทศที่มีความก้าวหน้ามากกว่า โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ซึ่งเป็นประเทศนอกสมาชิกทั้งสิ้น และมีบทบาทการค้าการลงทุนเหนียวแน่นกับอาเซียน ดังนั้น หากไม่เร่งพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียนก็เป็นไปได้ยากที่จะเข้มแข็งได้เหมือนกับสหภาพยุโรป
แม้ว่าอาเซียนจะมีการตั้งเป้าหมายในการรวมกลุ่มกันเป็น ASEAN Economic Community แต่ในทางปฏิบัติ แต่ละประเทศสมาชิกเน้นการแข่งขันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากกว่าการพัฒนาความร่วมมือ เช่น ไทยกับเวียดนามแข่งกันดึงนักลงทุนจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา มากกว่าการสร้างความร่วมมือกันในการพัฒนาห่วงโซ่การผลิต ต่างจากสหภาพยุโรปที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันได้ นอกจากนี้ อาเซียนยังคงพึ่งพาการลงทุนจากภายนอก (FDI) เป็นหลัก จึงคาดว่าอาเซียนจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกับสหภาพยุโรป ซึ่งควรจะเป็นไปในลักษณะที่เริ่มต้นจากประเทศที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกันก่อน เช่น กลุ่ม ASEAN-5 คือไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ และ ASEAN-6 ที่มีเวียดนาม แล้วจึงขยับขยายความร่วมมือไปยังประเทศที่มีระดับการพัฒนาน้อยกว่าในภายหลัง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ความเสี่ยงทางด้านการลงทุน จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของอาเซียน
อาจารย์สันติ: ความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิก เช่น กรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จะมีผลต่อการค้าชายแดนเพียงในระยะสั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจในอาเซียนมากนัก เพราะยังมีเส้นทางการค้าอื่นที่สามารถรองรับได้ เช่น การขนส่งสินค้าจากไทยอ้อมผ่านทางลาวและเข้าสู่กัมพูชา แต่หากความขัดแย้งดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ นักลงทุนอาจมองภูมิภาคนี้ว่ามีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้การลงทุนใหม่ลดลง และเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตช้าลง กล่าวคือ หากมองที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตของอาเซียนจะมีแนวโน้มต่ำลง
แต่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจก็อาจจะสะท้อนผลกระทบได้บางส่วน เช่น มูลค่าการค้าระหว่างประเทศที่ลดลงได้จากหลายปัจจัย ไม่จำเป็นต้องมาจากความขัดแย้งเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่าง การแข่งขันกับสินค้าจีนที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งไม่ได้เป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง ดังนั้นจึงต้องแยกสาเหตุให้ชัดเจนในการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ
อาจารย์ยุทธนา: ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ได้รุนแรงถึงระดับที่สามารถสร้างความเสี่ยงต่อภูมิภาคโดยรวม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองอาเซียนเป็นตลาดขนาดใหญ่ มากกว่ามองเป็นรายประเทศ ผลกระทบน่าจะจำกัดอยู่แค่ในระยะสั้น เว้นแต่ความขัดแย้งจะลุกลามไปถึงพื้นที่อุตสาหกรรมหลัก
ห่วงโซ่อุปทานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาเซียน
อาจารย์ยุทธนา: สิ่งที่อาเซียนควรพัฒนาคือบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถทางด้านเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีเสถียรภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งข้ามพรมแดน ทั้งรถไฟ มอเตอร์เวย์ และระบบดิจิทัล ซึ่งควรมุ่งเน้นสนับสนุนประเทศสมาชิกให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสัญญาณความน่าเชื่อที่นักลงทุนจะใช้ประเมินความพร้อมของภูมิภาค หากโครงการเหล่านี้พัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาเซียนจะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
อาจารย์สันติ: นอกจากห่วงโซ่อุปทานแล้ว ความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศคือปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างมาก กรณีของไทย ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้นโยบายทางเศรษฐกิจดำเนินการได้ไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในระยะยาวได้เช่นกัน
ที่ผ่านมา อาเซียนทำได้ดีในเรื่องของกลไกความร่วมมือทางด้านพลังงาน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเชื่อมโยงกันมากขึ้น นั่นคือโครงการ ASEAN Power Grid ซึ่งเป็นข้อตกลงในการระดมทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าให้ประเทศสมาชิกสามารถซื้อขายพลังงานกันได้ เช่น กรณีไทยซื้อไฟฟ้าจากลาว ซื้อก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา
ข้อเสนอแนะต่อการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดการเงินกลับคืนมาของอาเซียน รวมทั้งประเทศไทย กรณีเกิดความไม่แน่นอนในภูมิภาค อาทิ ข้อพิพาท ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
อาจารย์ยุทธนา: ความไม่แน่นอนในภูมิภาคจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้น นักลงทุนจะชะลอการตัดสินใจเพื่อตรวจสอบข้อมูล หากคาดการณ์ว่าความเสี่ยงไม่รุนแรงก็จะกลับมาลงทุนต่อ ดังนั้น ความต่อเนื่องของนโยบายรัฐและแผนโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่า ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาได้
อาจารย์สันติ: การขยายความร่วมมือทางการค้ากับประเทศนอกภูมิภาคในรูปแบบ ASEAN+1 เช่น ความตกลงเขตการค้าอาเซียน-จีน หรือ ACFTA (ASEAN-China) ซึ่งเป็นอีกรูปแบบความร่วมมือที่อาเซียนดำเนินมาอย่างถูกทาง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภูมิภาคอาเซียนได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าจะมองอาเซียนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่รวมทั้ง 10 ประเทศ การเข้าลงทุนจึงตัดสินใจง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้นำมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นกัน ซึ่งไม่บ่อยนักที่อาเซียนจะมีผู้นำที่มีบทบาทโดดเด่น โดยเฉพาะในการจะขับเคลื่อนข้อตกลงสำคัญต่าง ๆ สำหรับไทยเองในอดีตช่วงที่เศรษฐกิจยังขับเคลื่อนได้ดี เราเคยมีตัวแทนในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งที่มากความสามารถ เช่น คุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ในฐานะเลขาธิการอาเซียน แต่ปัจจุบันบทบาทดังกล่าวลดลง แม้แต่อินโดนีเซียและมาเลเซียก็เช่นกัน ด้วยปัญหาภายในประเทศ ทำให้ไม่มีประเทศใดก้าวขึ้นมามีบทบาทการนำในอาเซียนได้อย่างชัดเจน
อาจารย์ยุทธนา: สำหรับประเทศไทยควรต้องเร่งฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน เพื่อดึงดูดนักลงทุนใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนญี่ปุ่นมีการชะลอการลงทุน เกาหลีหันไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ส่วนจีนกำลังขยายการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ หากไทยต้องการส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาที่ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุน
ความคาดหวังต่อทิศทางอนาคตเศรษฐกิจอาเซียน
อาจารย์สันติ: ความท้าทายของอนาคตอาเซียนขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดความเหลื่อมล้ำ อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางรายได้ของประชากร และศักยภาพในการพัฒนา เพราะความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ กับประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าอย่างเมียนมา เป็นต้น เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ อาเซียนจึงควรเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาเชิงโครงสร้าง ที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาแรงงาน และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงรักษาความสมดุลระหว่างความร่วมมือภายในกับการร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจ
อาจารย์ยุทธนา: การพัฒนาในระดับภูมิภาคควรเริ่มพัฒนาจากประเทศหลักอย่าง ASEAN-6 ก่อน และค่อยรวมประเทศที่พัฒนาช้ากว่าเข้ามา รวมถึงขยายกรอบความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาค เพื่อดึงดูดนักลงทุน เทคโนโลยี และยังเป็นการขยายตลาดให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ไทยควรกลับมามีบทบาทในอาเซียนอย่างจริงจัง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำเพียงประเทศเดียวแต่สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำให้ข้อตกลงต่าง ๆ เดินหน้าไปได้ หากทุกประเทศสมาชิกคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมมากกว่าของประเทศ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะเกิดผลอย่างแท้จริง
และหากอาเซียนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี เสริมทักษะแรงงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง และดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภูมิภาคนี้จะสามารถเปลี่ยนจากการแข่งขันดึงดูดการลงทุน ไปสู่ระบบความร่วมมือในการลงทุนที่เกื้อหนุนกันและเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนในระยะยาว