Authors
รศ. ดร. วิชิต หล่อจีระชุณห์กุล ศ. ดร. ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ ศ. ดร. จิราวัลย์ จิตรถเวช อาจารย์เกษียณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ราคาน้ำมันควรเป็นราคาที่สะท้อนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงในการจัดหาน้ำมันสำเร็จรูป โดยไม่มีการบิดเบือนราคา การปรับราคาน้ำมันเป็นการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปตั้งแต่ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่น ราคาน้ำมัน ขายส่งน้ำมัน และ ราคาน้ำมัน ขายปลีกน้ำมัน
โครงสร้างราคา ณ โรงกลั่นมีองค์ประกอบที่สามารถพิจารณาปรับได้ดังต่อไปนี้
2.1 ยกเลิกองค์ประกอบค่าปรับคุณภาพน้ำมัน
องค์ประกอบค่าคุณภาพในโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นในปัจจุบัน เป็นการปรับคุณภาพน้ำมันให้สูงกว่ามาตรฐานน้ำมันสากล ถ้าพิจารณาว่า มาตรฐานน้ำมันสากลเพียงพอสำหรับประเทศไทย ก็สามารถยกเลิกองค์ประกอบดังกล่าวได้ทันที โดยยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเบนซิน พ.ศ. 2562 และประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ พ.ศ. 2562 และประกาศใหม่ให้ลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์สอดคล้องกับลักษณะและคุณภาพสากล ซึ่งจะลด ราคาน้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล์ 95 E10 ได้ 0.46 บาท/ลิตร และ 0.35 บาท/ลิตร ตามลำดับได้ทันที
2.2 ยกเลิกองค์ประกอบค่าสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง
การสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับประเทศที่ยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันดิบ เพื่อสำรองน้ำมันไว้ใช้เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน ในปัจจุบัน โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีกำลังการกลั่นที่สูงกว่าความต้องการน้ำมันสำเร็จรูป ทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ ในช่วงปี พ.ศ. 2560-2562 ก่อนการระบาดโควิค-19 มีการส่งออกน้ำมันเบนซิน ร้อยละ 9.97 ของปริมาณจำหน่ายโดยเฉลี่ย และมีการส่งออกน้ำมันดีเซลร้อยละ 20.35 ของปริมาณจำหน่ายโดยเฉลี่ย
ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2565 ระหว่างการระบาดของโควิค-19 การส่งออกน้ำมันเบนซิน ยังคงอยู่ในระดับเดิมแต่ปริมาณจำหน่ายทั้งหมดลดลง ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13.85 ของปริมาณจำหน่ายโดยเฉลี่ย ในทำนองเดียวกัน การส่งออกปริมาณน้ำมันดีเซลก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 21.24 ของปริมาณจำหน่ายโดยเฉลี่ย จึงน่าจะมีการทบทวนความจำเป็นที่ต้องสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันที่มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ถ้าพิจารณาให้ยกเลิกองค์ประกอบการสำรองเพื่อความมั่นคง ซึ่งสามารถทำได้ทันที ก็จะทำให้ราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันทุกชนิดลดลง 0.15 บาท/ลิตร
2.3 ทบทวนแนวคิดในการอ้างอิงราคา ณ โรงกลั่น
การอ้างอิงราคา ณ โรงกลั่นในปัจจุบันอยู่ภายใต้แนวคิด Import Parity ซึ่งก็ คือ การใช้ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป CIF เป็นราคาอ้างอิงในโครงสร้างราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งมีความเหมาะสมในกรณีที่ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปสูงกว่าความต้องการในประเทศจนทำให้สามารถส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ ราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นจึงควรพิจารณาให้เป็นราคาที่อ้างอิงราคา FOB ในตลาด SIMEX ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงสำหรับการส่งออกน้ำมันในประเทศสิงคโปร์ที่เป็นสากล ราคา FOB เป็นราคาที่ผู้ซื้อน้ำมันเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งน้ำมัน ค่าประกันภัย และค่าสูญเสีย ซึ่งแตกต่างไปจากราคา CIF ที่ผู้ขายน้ำมันเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
การใช้ราคา FOB เป็นราคาอ้างอิงสำหรับ ราคาน้ำมัน สำเร็จรูป ณ โรงกลั่นจะทำให้ราคา ณ โรงกลั่นลดลงเท่ากับค่าขนส่งน้ำมัน ค่าประกันภัย และค่าสูญเสียจากสิงค์โปร์มาศรีราชา การอ้างอิงราคา FOB เป็นราคา ณ โรงกลั่นจะเพิ่มขีดความสามารถให้การส่งออกน้ำมันของประเทศไทยสามารถแข่งขันกับราคาส่งออกน้ำมันของตลาด SIMEX ได้
โครงสร้างราคาขายส่งน้ำมันมีองค์ประกอบที่สามารถพิจารณาปรับได้ดังต่อไปนี้
3.1 ยกเลิกองค์ประกอบกองทุนอนุรักษ์พลังงาน
กองทุนอนุรักษ์พลังงานมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บค่าอนุรักษ์พลังงานจากผู้ใช้น้ำมันทุกรายในอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร เพื่อดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงาน จึงไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปโดยตรง การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควรเป็นความรับผิดชอบของสังคมส่วนรวม ไม่ใช่เฉพาะผู้ใช้น้ำมัน จึงควรพิจารณาให้ยกเลิกการเก็บกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสามารถทำได้ทันที และกำหนดให้มีการจัดทำแผนงานอนุรักษ์พลังงานประจำปีเพื่อของบประมาณมาดำเนินงาน แทนที่จะจัดเก็บจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานอย่างที่ปฏิบัติในปัจจุบัน การยกเลิกองค์ประกอบกองทุนอนุรักษ์พลังงานจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้อีกลิตรละ 5 สตางค์
3.2 ทบทวนการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
วัตถุประสงค์ของ พรบ. กองทุนน้ำมัน คือ การรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมัน แต่การบริหารกองทุนน้ำมันในปัจจุบันมีลักษณะของการอุดหนุนราคาน้ำมันระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน โดยกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซินเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำมันหลักที่รับภาระในการอุดหนุนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลและผู้ใช้น้ำมันประเภทอื่นจากการจัดเก็บค่ากองทุนน้ำมัน ซึ่งทำให้เกิดการบิดเบือนราคา จึงควรพิจารณาทบทวนบทบาทกองทุนน้ำมันเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน
3.3 แนวทางการลดภาระค่าใช้จ่ายจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
นอกจากภาษีสรรพสามิตในโครงสร้างราคาขายส่งน้ำมันจะเป็นแหล่งรายได้หนึ่งของรัฐบาลแล้วองค์ประกอบภาษีสรรพสามิตในโครงสร้างราคาขายส่งในปัจจุบันยังถูกใช้เป็นกลไกในการอุดหนุนผู้ใช้น้ำมัน เช่น การลดภาษีน้ำมันดีเซล ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้รถยนต์ดีเซลทุกประเภท ทำให้เกิดการบิดเบือนราคาในโครงสร้างราคาขายส่งน้ำมันในลักษณะเดียวกันกับองค์ประกอบกองทุนน้ำมัน
แนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของการอุดหนุนจากการลดภาษีน้ำมันดีเซล คือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ต้องการอุดหนุน เช่น กลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ไม่ใช่รถยนต์ดีเซลนั่งส่วนบุคคล และปรับภาษีรถประจำปีสำหรับรถยนต์ดีเซลนั่งส่วนบุคคลที่ได้รับอานิสงค์จากการอุดหนุน ในอัตราที่เท่ากับเงินที่ได้รับจากการลดภาษีน้ำมันดีเซล
จากจำนวนรถยนต์ดีเซลนั่งส่วนบุคคลจำนวนกว่า 3.6 ล้านคัน ณ สิ้นปี พ.ศ. 2564 เงินชดเชยที่ได้รับ 6 บาท/ลิตร ระยะทางเฉลี่ยของการใช้รถยนต์ประมาณ 20,000 กิโลเมตร/ปี และอัตราการใช้น้ำมันดีเซล 18 กิโลเมตร/ลิตร ปรับเพิ่มอัตราภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ดีเซลนั่งส่วนบุคคลที่ประมาณจากการใช้น้ำมันที่ได้รับการชดเชยเท่ากับ (20,000 กม/ปี x 6.00 บาท/ลิตร)/(18 กม/ลิตร) หรือ 6,666.67 บาท/คัน ซึ่งจะทำให้เก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 24,000 ล้านบาท มาชดเชยภาระค่าใช้จ่ายการอุดหนุนได้บางส่วน
3.4 ทบทวนแนวคิดในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนในราคาน้ำมัน การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตในโครงสร้างราคาขายส่งน้ำมันควรเป็นอัตราเดียวสำหรับน้ำมันทุกประเภทซึ่งไม่ทำให้เกิดการบิดเบือนราคาน้ำมันและไม่สูงจนเป็นภาระของผู้ใช้น้ำมัน โดยพิจารณาจัดเก็บภาษีอื่นเพื่อชดเชยรายได้จากภาษีสรรพสามิตที่ลดลง เช่น ภาษีคาร์บอน น้ำมันเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยได้นำเสนอเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ในอัตราร้อยละ 20 ภายในปี 2570 ต่อที่ประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 ที่ประเทศสกอต์แลนด์ (COP26)
ในเชิงนโยบาย รัฐบาลสามารถควรให้มีการศึกษาผลดีผลเสียในการใช้ภาษีคาร์บอนแทนภาษีสรรพสามิต โดยกำหนดวัตถุประสงค์ให้ภาษีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบในโครงสร้างราคาน้ำมันขายส่งที่สะท้อนต้นทุนในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยให้อัตราภาษีสะท้อนลำดับของต้นทุนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนของน้ำมันแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเทคนิคการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสากล ตามประเภทน้ำมัน การกำหนดตัวชี้วัดความเสียหายที่เกิดจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการกำหนดเป้าหมายรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบอัตราภาษีที่สะท้อนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอัตราสรรพสามิตในปี 2564
ประเภท | อัตราภาษีสรรพสามิต (บาท/ลิตร) | เปลี่ยนแปลง (บาท/ลิตร) | ปริมาณการใช้ (ล้านลิตร/วัน) | ภาษีสรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลง (ล้านบาท/วัน) | |
ปัจจุบัน | บนพื้นฐาน CO2e | ||||
ULG | 6.50 | 5.7794 | -0.7206 | 0.79 | -0.57 |
GASOHOL95 E10 | 5.85 | 5.5709 | -0.2791 | 15.27 | -4.26 |
GASOHOL91 | 5.85 | 5.5709 | -0.2791 | 8.21 | -2.29 |
GASOHOL95 E20 | 5.20 | 4.9454 | -0.2546 | 6.27 | -1.60 |
GASOHOL95 E85 | 0.975 | 2.2349 | 1.2599 | 1.29 | 1.63 |
H-DIESEL B7 | 5.990 | 6.6740 | 0.6840 | 41.76 | 28.56 |
H-DIESEL B10 | 5.990 | 6.5543 | 0.5643 | 16.22 | 9.15 |
H-DIESEL | 5.990 | 6.9531 | 0.9631 | 2.08 | 2.00 |
H-DIESEL B20 | 5.990 | 6.1555 | 0.1655 | 3.47 | 0.57 |
FO 600 (1) 2%S | 0.640 | ไม่มีข้อมูล | 0.00 | ||
FO 1500 (2) 2%S | 0.640 | ไม่มีข้อมูล | 0.00 | ||
LPG (บาท/กก.) | 2.170 | – | -2.1700 | 15.30 | -33.20 |
รวม | 0.00 |
ที่มา: คำนวณโดยคณะผู้เขียน
โครงสร้างภาษีที่สะท้อนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตารางที่ 1 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มาจากการศึกษาเบื้องต้นโดยคณะผู้เขียนในปี 2564 ที่ประมาณจากข้อมูลการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสากล ตัวชี้วัดมูลค่าความเสียหายจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อ้างอิงจากพิสัยราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดโลก และกำหนดเป้าหมายรายได้จากการเก็บภาษีให้เท่ากับรายได้ที่จัดเก็บจากภาษีสรรพสามิตเดิม ซึ่งควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดของผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีคาร์บอนต่อราคาน้ำมันและรายได้ของรัฐบาล
3.5 ทบทวนการกำหนดราคาเอทานอลและราคาไบโอดีเซล
ณ วันที่ 12 ก.ย. พ.ศ. 2566 ราคาเอทานอล ซึ่งกำหนดไว้ที่ 29.10 บาท/ลิตร และราคาไบโอดีเซล (B100) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 32.19 บาท/ลิตร สูงกว่าราคาน้ำมันเบนซิน และราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ โรงกลั่น ดังในตารางที่ 2 จึงน่าจะทบทวนการกำหนดราคาเอทานอลและราคาไบโอดีเซล (B100) ให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันบนพื้นฐานของต่าความร้อนด้วย เพื่อลดภาระของผู้ใช้น้ำมัน
โครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกประกอบไปด้วยองค์ประกอบราคาน้ำมันขายส่ง ค่าการตลาด และภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าการตลาด องค์ประกอบของค่าการตลาดของน้ำมันทุกชนิดโดยเฉลี่ยใน กทม. ในช่วง 1-12 ก.ย. พ.ศ. 2566 เท่ากับ 2.38 บาท/ลิตร ในขณะที่ กบง. มีมติให้มีการกำหนดค่าการตลาดในภาพรวม โดยให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันทุกประเภทเท่ากับ 2.00 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบันสูงกว่าอัตราที่กำหนดโดยมติ กบง. ลิตรละ 38 สตางค์ การปรับค่าการตลาดเฉลี่ยให้มีอัตรา 2.00 บาท/ลิตร ตามมติ กบง. จะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันทุกประเภทโดยเฉลี่ยลดลงลิตรละ 38 สตางค์ และภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงลิตรละ 2.7 สตางค์รวมเป็นลิตรละ 40.7 สตางค์