โดย ศ.(พิเศษ) ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ประธานมูลนิธิกฤษณา ไกรสินธุ์
Adjunct Prof. Krisana Kraisintu, Ph.D. (Ramon Magsaysay Award 2009)
สรุปโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พัทรียา หลักเพ็ชร
ในการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 3 ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIC-NIDA) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 22-23 สิงหาคม 2567 สถาบันมีได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. เภสัชกรหญิง กฤษณา ไกรสินธุ์ ท่านได้รับรางวัล Ramon Magsaysay และอุทิศตนเพื่อการสาธารณสุขในทวีปแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยศาสตราจารย์กฤษณาได้แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การสร้างความเท่าเทียมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ในบรรยายพิเศษนี้ ท่านได้แบ่งปันประสบการณ์กว่า 16 ปี ในการสร้างความเท่าเทียมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ การพัฒนายาต้านเอดส์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็น และการเสริมสร้างศักยภาพให้กับชุมชนที่ด้อยโอกาสผ่านการดำเนินงานโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ผลงานของท่านไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกในด้านสาธารณสุขและการพัฒนาชุมชน

การเข้าถึงยาต้านเอดส์และความสำคัญในการผลิตยาในประเทศ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. เภสัชกรหญิง กฤษณา ไกรสินธุ์ เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องการผลิตยาต้านเอดส์ราคาถูกในประเทศไทย โดยแรงบันดาลใจสำคัญเกิดจากปัญหาการเข้าถึงยารักษาโรคของผู้ป่วยที่ยากไร้ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ในขณะนั้นยาต้านเอดส์ในประเทศไทยมีราคาสูงมาก โดยต้องใช้เงินถึง 20,000-30,000 บาทต่อผู้ป่วยต่อเดือน ทำให้มีผู้ป่วยเพียง 850 คนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงยาได้ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสังคม ศาสตราจารย์กฤษณา จึงเริ่มคิดค้นวิธีที่จะลดต้นทุนการผลิตยาเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยท่านเชื่อว่าสิทธิเข้าถึงยาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทุกคนที่ควรจะได้รับยาโดยไม่แบ่งแยกว่าคนรวยหรือคนจนจากความเหลื่อมล้ำด้านระดับเศรษฐฐานะ ซึ่งผลงานโดดเด่นของท่านและสร้างชื่อเสียงให้องค์กรเภสัชมากที่สุด ได้แก่ การผลิตยาต้านเอดส์ (Anti-AIDS Drugs. 300mg/100 Capsule) ซึ่งเป็นยาช่วยลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ยา Stavudine Capsules 30,40 mg. และยา Zidovudine-Lamivudine Tablets AZT 300 mg + 3TC 150 mg.เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2538 ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. เภสัชกรหญิง กฤษณา ไกรสินธุ์ ได้ประสบความสำเร็จในการผลิตยาต้านเอดส์ชนิดแรกในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่ลดต้นทุนการผลิตยาให้ต่ำลงถึง 800 บาทต่อเดือนต่อผู้ป่วย แต่ยังทำให้ยามีคุณภาพเทียบเท่ากับยานำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์และผู้ป่วยเอดส์ที่ตั้งครรภ์ก็สามารถได้รับยาได้ เด็กที่เป็นผู้ป่วยเด็กที่คลอดใหม่ก็สามารถได้รับยาน้ำเฉพาะของเด็กผู้ป่วยเอดส์ด้วย (AZT Syrup) Stavudine 10 mg/ml ซึ่งยานี้ได้รับชื่อยาสามัญในปี 2538 ยาต้านเอดส์ได้มีการผลิตขึ้นใน 3ประเทศ ได้แก่ 1) ประเทศไทย 2) ประเทศอินเดีย และ 3) ประเทศบราซิล ตามลำดับ โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่สามารถผลิตยาต้านเอดส์ได้สำเร็จ โดยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาต้านเอดส์ในราคาที่สามารถจ่ายได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยเอดส์ลงอย่างมาก และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยทั้งในเมืองและชนบทสามารถเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง สำหรับตัวยาต้านเอดส์ที่ทำให้องค์การเภสัชมีชื่อเสียงมากที่สุด คือยาต้านเอดส์สูตรค็อกเทล GPO-VIR S30 เป็นยาสูตรผสมและมียา 3 ชนิด ผสมในเม็ดเดียวกัน เช่น Stavudine (d4T) 30 mg., Lamivudine (3TC) 150 mg. และ Nevirapine 200 mg.โดยการผลิตยาเพียงครั้งเดียวสามารถช่วยลดต้นทุน และเวลาการผลิตยา ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการได้รับยาที่มีราคาสูง อีกทั้งป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา เนื่องจากผู้ป่วยติดเชื้อจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเช้าเย็นอย่างละ 3 เม็ด ถ้าหากมีการลืมยาเม็ดใดเม็ดหนึ่ง เชื้ออาจจะเกิดการดื้อยา ต้องมีการเปลี่ยนยาทันทีและจะทำให้ยามีราคาแพงขึ้น

บทบาทในทวีปแอฟริกา: สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงยา
นอกจากความสำเร็จในประเทศไทย ศาสตราจารย์กฤษณา ยังได้ขยายการทำงานของท่านไปยังทวีปแอฟริกา ซึ่งในช่วงเวลานั้นยังคงประสบปัญหาโรคเอดส์และมาลาเรียอย่างรุนแรง ท่านเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีความยากจนและขาดแคลนการรักษา เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ในปี ค.ศ. 2002 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ถึง 1 ล้านคน และจากโรคมาลาเรียอีก 2 ล้านคน ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงยารักษาโรคได้เนื่องจากราคายาสูงเกินไป และรัฐบาลไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดหายารักษาได้อย่างทั่วถึง
ศาสตราจารย์กฤษณา ทำงานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Democratic Republic of Congo) เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อพัฒนายาต้านเอดส์ที่มีราคาถูกและมีประสิทธิภาพ จากการทำงานอย่างหนัก ท่านสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงยาก่อนหน้านี้ และยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ เช่น UN และองค์กรในเยอรมันที่ให้การสนับสนุนในการพัฒนาสาธารณสุขของประเทศที่ด้อยพัฒนา และได้เดินทางไปทำงานในประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม ในทวีปแอฟริกา อาทิ เซเนกัล ไลบีเรีย แกมเบีย มาลี กินี-บิสาซา เบนิน กาบอง ยูกันดา เคนยา เอธิโอเปีย โมซัมบิก และแซมเบีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มประเทศที่เผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจนและการเข้าถึงยารักษาที่จำกัด ในขณะนั้นคนในแอฟริกาเสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรีย จำนวน 2 ล้านคน จึงทำให้ท่านได้ผลักดันให้มีการผลิตยารักษามาลาเลียควบคู่กับยาต้านเอดส์ (Production of Medicine and Anti – AIDS. Drug) โดยได้มีการผลิตยาเอดส์และยามาลาเรียของเด็กอีกด้วย
การพัฒนาสมุนไพรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้: ความสำเร็จในการพัฒนาชุมชน
หลังจากประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้ป่วยในแอฟริกา ท่านเดินทางกลับมาประเทศไทย โดยได้ริเริ่มโครงการพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการแรกที่ท่านริเริ่มในปี พ.ศ. 2551 คือ โครงการลังกาสุกะ ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาการผลิตสมุนไพรในพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน บนฐานคิดการพัฒนาโครงการฯ จาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
- ความรู้สึกของชาวบ้านที่ไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากพื้นที่นี้มีปัญหาความขัดแย้งและการแบ่งแยก ทำให้ชาวบ้านรู้สึกถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจากภาครัฐ
- พื้นที่นี้มีการพัฒนาช้ากว่าพื้นที่อื่น เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นของประเทศไทย พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประสบปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของขุมชน
- เหตุผลส่วนตัวของท่าน ที่ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในพื้นที่ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ท่านได้ทำงานที่สถานีอนามัยและมีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมและความต้องการของชุมชนในพื้นที่เป็นอย่างดี
โครงการลังกาสุกะ เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาสมุนไพร ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยท่านได้สร้างโรงงานผลิตสมุนไพร 2 แห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่:โรงงานที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสและ โรงงานที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
โรงงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ผลิตยาสมุนไพรคุณภาพสูงเพื่อการรักษาโรค แต่ยังเป็นแหล่งสร้างงานและรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ผ่านการฝึกอบรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อให้เกิดมูลค่าสูงขึ้น โดยหลักการทำงานและแนวคิดสำคัญของท่านที่ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จคือ:
- ภาษาไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนรู้ ท่านเน้นให้ชาวบ้านเข้าใจว่าการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะใช้ภาษาที่แตกต่างกัน
- การทำเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านทำตาม ท่านเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติและให้ชาวบ้านทำตามแนวทางที่ถูกต้อง
- ให้ชาวบ้านเขียนและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ในทางปฎิบัติท่านฝึกให้ชาวบ้าน ‘ทำในสิ่งที่เขียน และเขียนในสิ่งที่ทำ’ เพื่อให้มั่นใจว่าชาวบ้านสามารถดำเนินการตามแผนและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ท่านยังได้ริเริ่มและประสบความสำเร็จในโครงการอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วประเทศ ได้แก่:
ตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จ
1.โครงการสามหมื่นโมเดล’ สร้างอาชีพผู้ลี้ภัยในพื้นที่เขตชายแดน โดยจังหวัดตากเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่าระยะความยาวประมาณ 400 กิโลเมตร จากท่าสายางลองมาระยะทาง 30,000 กิโลเมตร ลงมาถึงอุ้มผาง โดยทีมงานของ ศาสตราจารย์ กฤษณา ไกรสินธุ์ ได้เริ่มปฏิบัติงานโดยได้รับเชิญจาก UN Woman ให้ไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัย (Refugee Assistance) ซึ่งเป็นชาวพม่าหรือโรฮิงญาที่เป็นชาวมุสลิม และจากนั้นก็ได้มีการเชิญไปปฏิบัติงานที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยสามารถสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน (Creating Sustainable Livelihoods) โดยให้ความรู้และสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ลี้ภัยผ่านการปลูกพืชพื้นบ้าน เช่น ขมิ้น พริกกะเหรี่ยง และสมุนไพรอื่นๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร มะแว้งต้นและมะแว้งเครือ เป็นต้น
2.โครงการช้างเผือกโมเดล’ มุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ และขยายโครงการไปในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งประสบปัญหาภูเขาหัวโล้นจากการปลูกข้าวโพดและกะหล่ำปลีโดยการใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก ท่านจึงได้ส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือก เช่น พริกกะเหรี่ยงและผักหวานบนเขา มะชามหวานและถั่วเหลือง ซึ่งช่วยป้องกันดินถล่มและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
3.โครงการจำปาศรีโมเดล’ จังหวัดชัยภูมิ ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดมหาสารคาม และที่อำเภอบรบือ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งโครงการจำปาศรี มีชื่อเสียงจากการค้นพบมะแว้งเครือ สามารถใช้เป็นยาแก้ไอได้ดี นอกนั้นยังมีการผลิตเครื่องแกงอินทรีย์ Organic Curry Paste ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งวัตถุดิบได้มีการคัดเลือกมาจากโครงการต่าง ๆ ทั้ง 6 โครงการที่ท่านดำเนินการ เช่น พริกกระเหรี่ยงจากโครงการสามหมื่น อำเภอแม่แจ่ม เกลือนำมาจากจังหวัดปัตตานี กะปินำมาจากจังหวัดสตูล ขมิ้นชันมาจากบ้านตาขุนจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคัดสรรนำวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาทำเครื่องแกง และได้ระบุสรรพคุณเครื่องแกงที่แตกต่างจากแหล่งผลิตอื่นๆ และมีการกระจายรายได้แก่เกษตรกรเมื่อมีการจำหน่ายได้จำนวนมากซึ่งส่งผลดีต่อเกษตรกร โดยได้มีการส่งออกอย่างแพร่หลายไปยังประเทศจีน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ
4.โครงการพฤกษามณีโมเดล’ แปรรูปผักสู่ยาสมุนไพรที่อำเภอหมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ท่านได้ส่งเสริมการปลูกผักเคล ซึ่งเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจาก อำเภอหมวกเหล็กมีโอโซนเป็นอันดับ 7 ของโลกทำให้เหมาะแก่การปลูกผักเคลและได้ผลผลิตที่ดี สามารถเก็บผลผลิตนั้นได้ปีละ 2-3 ครั้ง และได้นำผักเคลและผลผลิตนมแพะนำไปแปรรูปที่โรงงานจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ในการผลิตนมแพะผง นมแพะอัดเม็ด และผักเคลอัดเม็ดที่มีสารอาหารและทานง่ายเหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงโครงการล่าสุดที่เกาะทุ่งนางดำ จังหวัดพังงา โดยร่วมมือกับประชาชนประมาณ 200 กว่าคน เพื่อพัฒนาผักหวานป่าและสมุนไพรปลาไหลเผือก ซึ่งพบมากในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายจะขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ ในอนาคต
บทสรุป: การสร้างความเท่าเทียมผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. เภสัชกรหญิง กฤษณา ไกรสินธุ์ เป็นตัวอย่างของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนผ่านการพัฒนาชุมชนและการเข้าถึงยาอย่างเท่าเทียม การทำงานของท่านไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ป่วยในประเทศไทยและแอฟริกา แต่ยังช่วยสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตยา การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ หรือการเสริมสร้างศักยภาพให้กับชุมชน ผลงานของท่านจึงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
จากการถอดบทเรียนประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา ท่านได้ฉาพภาพให้เห็นว่าความสำเร็จที่แท้จริงคือการพัฒนาชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยท่านน้อมนำแนวคิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เน้นการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งท่านเชื่อว่า การ‘เข้าถึง’เป็นกระบวนการที่ยากที่สุด ท่านเน้นความสำคัญของการมีความจริงใจและการสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน เพื่อให้การพัฒนานั้นควรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยยึดหลัก 3 ประการ:
- Empowerment: มุ่งเน้นการสร้างความรู้และทักษะให้กับคนในชุมชน เพื่อให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้
- Understanding the Difference: สอนให้คนในชุมชนเข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
- Encouraging Dignity: สร้างความภาคภูมิใจในตนเอง และเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วขยายผลไปสู่กลุ่มใหญ่ เพื่อให้เกิดเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน
ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน ตามแนวทางของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่เน้น “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”