โดย รศ.ดร.ณดา จันทร์สม
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มีวิสัยทัศน์และพันธกิจที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่การเป็นสถาบันสรรค์สร้างทางปัญญาของสังคม เพื่อสร้างผู้นำสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้ปรัชญา “สร้างปัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Wisdom for Sustainable Development) ในบทความนี้ จะเจาะลึกถึงความสำคัญของ “ผลิตภาพแรงงาน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อน “การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย
ผลิตภาพแรงงานคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อการเติบโตของประเทศ
รองศาสตราจารย์ ดร. ณดา จันทร์สม ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ อธิบายว่า ผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) คือผลผลิตที่ได้จากแรงงานหนึ่งหน่วย หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ถ้าเราใส่เงิน 1 บาท แล้วสร้างผลตอบแทนได้ 100 บาท ย่อมต่างจากใส่เงิน 1 บาท แต่สร้างผลตอบแทนได้ 500 บาท ซึ่งในกรณีหลังถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า
ในฐานะปัจจัยการผลิตที่สำคัญคู่กับทุน แรงงานจึงเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เมื่อผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อประเทศในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
- รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น: เมื่อแรงงานสร้างผลผลิตได้มากขึ้น รายได้ของประเทศก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
- ต้นทุนการผลิตลดลง: การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
- กำลังซื้อเพิ่มขึ้น: เมื่อแรงงานมีรายได้สูงขึ้น การบริโภคในประเทศก็จะสูงขึ้นด้วย
- รายได้รัฐเพิ่มขึ้น: เมื่อการผลิตและรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของประเทศโดยรวม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางมานานกว่า 35 ปี การจะก้าวข้ามไปสู่ประเทศรายได้สูง (รายได้ต่อหัวมากกว่า 13,895 ดอลลาร์สหรัฐ) จำเป็นต้องมุ่งพัฒนาผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
วิเคราะห์โครงสร้างผลิตภาพแรงงานไทย
รศ.ดร. ณดา ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างผลิตภาพแรงงานของไทยมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
- ภาคเกษตร: มีสัดส่วนแรงงานสูงถึง 30% แต่สร้างผลผลิต (GDP) ได้เพียง 8-10% ซึ่งถือว่ามีผลิตภาพต่ำที่สุด
- ภาคอุตสาหกรรม: มีสัดส่วนแรงงานเพียง 14% แต่สร้างผลผลิตได้สูงถึง 46% เป็นภาคที่มีผลิตภาพสูงสุด
- ภาคบริการ: มีสัดส่วนแรงงานประมาณ 46% และสร้างผลผลิตได้กว่า 50%
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของประเทศคือการยกระดับผลิตภาพแรงงานในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตร เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
รศ.ดร. ณดา ระบุว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ดังนี้
- คุณภาพของแรงงาน: การเพิ่ม ความรู้และทักษะ (skill) ให้กับแรงงานผ่านการศึกษาและการอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการพัฒนา ทักษะใหม่ (reskill) และทักษะเพิ่มเติม (upskill) เพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
- เทคโนโลยี: การนำ เทคโนโลยี เช่น AI หรือระบบการจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) เข้ามาใช้ จะช่วยลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้แรงงาน 1 คนสามารถสร้างผลผลิตได้มากขึ้น
- โครงสร้างพื้นฐาน: การมี โครงสร้างพื้นฐาน ที่ดีทั้งในด้านการคมนาคมขนส่งและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยจะช่วยลดความเหนื่อยล้าและสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับแรงงานได้
- สุขภาพ: สุขภาพกาย ที่แข็งแรงของแรงงานเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญ หากเจ็บป่วยบ่อยประสิทธิภาพในการทำงานย่อมลดลง
- ภาวะผู้นำและการบริหารจัดการ: ผู้นำองค์กรที่ดีควรสามารถดึงศักยภาพของพนักงานออกมาได้อย่างเต็มที่ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม
- ระบบแรงจูงใจ: ค่าตอบแทนและสวัสดิการ ที่เหมาะสมและเป็นธรรมถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้แรงงานอยากทำงานและพัฒนาตัวเอง
กลยุทธ์ขับเคลื่อนผลิตภาพแรงงานไทยเพื่อความยั่งยืน
จากปัจจัยข้างต้น รศ.ดร. ณดา เสนอว่านโยบายภาครัฐไม่ควรจำกัดอยู่แค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับการยกระดับผลิตภาพแรงงานผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น
- พัฒนาทักษะแรงงาน: สนับสนุนการ upskill และ reskill อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แรงงานมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมใหม่ๆ
- ยกระดับผู้ประกอบการ: สนับสนุนผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ให้นำเทคโนโลยีและระบบการจัดการที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิตและการบริหาร
- ส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่: สร้างอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น อุตสาหกรรมสีเขียว) เพื่อดึงดูดแรงงานให้เข้ามาทำงานในภาคส่วนที่มีผลิตภาพสูง
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการสื่อสาร
- สร้างแรงจูงใจ: ปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้ควรเป็นนโยบายที่มีความต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุดก็ตาม เพื่อให้การพัฒนาผลิตภาพแรงงานสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน