Gender Responsive Budgeting

Gender-Responsive Budgeting: What, Why, & How ( SDG 5 )

โดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ภาวินี ช่วยประคอง
อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

            สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างปัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Wisdom for Sustainable Development) มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนสู่การเป็นสถาบันสรรค์สร้างทางปัญญาแก่สังคม และสร้างผู้นำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล หนึ่งในประเด็นสำคัญที่นิด้าให้ความสนใจและเป็นส่วนหนึ่งของ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) คือ SDG 5 : ความเท่าเทียมทางเพศ. ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “งบประมาณที่ตอบสนองต่อมิติทางเพศสภาพ” หรือ Gender Responsive Budgeting (GRB) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการศึกษา GRB

            ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ภาวิณี ช่วยประคอง อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ได้เล่าถึงที่มาของการสนใจในประเด็น Gender-Responsive Budgeting (GRB) ว่าเกิดขึ้นระหว่างที่นำเสนอผลงานในต่างประเทศ และได้ฟังนักวิชาการด้านงบประมาณพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้เกิดคำถามว่าแนวคิดนี้จะสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้หรือไม่ เพราะเชื่อว่าหากระบบงบประมาณปัจจุบันมีประสิทธิภาพจริง ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาความไม่เท่าเทียมยังคงมีอยู่ เช่น ผู้หญิงมีฐานะยากจนกว่าผู้ชาย หรือเด็กถูกล่วงละเมิดมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายของภาครัฐอาจยังไม่ตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริง GRB จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือหนึ่งในการปฏิรูประบบงบประมาณให้สามารถแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงจุด

Gender-Responsive Budgeting (GRB) คืออะไร

            ผศ.ดร. ภาวิณี อธิบายว่า GRB ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเพศ แต่หมายถึงระบบงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่สะท้อนถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในสังคม ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยด้าน

  • เพศ: หญิง, ชาย, LGBT
  • สภาพร่างกาย: ผู้พิการ, ผู้สูงอายุ
  • ช่วงวัย: เด็ก, ผู้ใหญ่
  • สถานะทางสังคม: กลุ่มเปราะบางต่างๆ

            หัวใจสำคัญของ GRB คือการใช้ข้อมูลเหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของการ วางแผน, วิเคราะห์, จัดสรร, อนุมัติ, ติดตาม และประเมินผล โครงการต่างๆ ที่มาจากงบประมาณ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกกลุ่มในสังคมได้อย่างแท้จริง โดยระบบนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแค่โครงการประชาสัมพันธ์ชั่วคราว

ตัวอย่างของ GRB ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

            แม้บางครั้งจะไม่ได้ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า GRB แต่การดำเนินงานบางอย่างในประเทศไทยก็สะท้อนถึงหลักการนี้ เช่น:

  • พื้นที่สาธารณะ: การจัดให้มีพื้นที่เต้นแอโรบิกในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้หญิงให้ความสนใจมากกว่าการเตะฟุตบอล
  • สิ่งอำนวยความสะดวก: การติดตั้งแท่นขึ้น-ลงสำหรับผู้พิการบนรถโดยสารสาธารณะ หรือการมีลิฟต์สำหรับผู้พิการในสถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี
  • สวัสดิการในองค์กร: ตัวอย่างจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่จัดให้มีสถานรับเลี้ยงเด็ก (Nursery) เพื่อให้เจ้าหน้าที่หญิงที่มีลูกอ่อนสามารถทำงานได้อย่างสบายใจ

แนวทางการออกแบบระบบงบประมาณแบบ GRB

            ผศ.ดร. ภาวิณี ให้แนวทางในการออกแบบระบบงบประมาณให้เป็น GRB ไว้ดังนี้:

  1. ยอมรับความจริง: ยอมรับว่ามีความแตกต่างในการเข้าถึงโอกาสระหว่างกลุ่มคนต่างๆ และระบบงบประมาณในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ
  2. กำหนดนโยบายที่ชัดเจน: ผู้บริหารต้องประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะลดความเหลื่อมล้ำในด้านใด และทำให้เป็นนโยบายอย่างเป็นทางการ
  3. เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ: จัดเก็บข้อมูลที่แยกตามกลุ่มเป้าหมาย (เพศ วัย ศาสนา ฯลฯ) เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์และจัดสรรงบประมาณอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยหลักการที่เรียกว่า “Evidence-Based Policy Making” หรือการกำหนดนโยบายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
  4. สร้างระบบที่ยั่งยืน: การใช้ระบบ GRB ต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อให้การปฏิรูประบบงบประมาณเกิดขึ้นอย่างแท้จริงและสามารถลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม

บทสรุป

            Gender-Responsive Budgeting (GRB) คือการปฏิรูประบบงบประมาณให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มคนหลากหลายในสังคมได้อย่างเป็นธรรม โดยอาศัยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณของรัฐจะถูกใช้ไปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมในทุกมิติ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน