Special Talk"Economic Resilience through Digital Sustainability"

Special Talk”Economic Resilience through Digital Sustainability”

ท๊อป-จิรายุส’ ชี้ อนาคตโลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ แรงปะทะจาก ‘สงคราม-AI-โลกร้อน’

สรุปเนื้อหาโดย
อัญชลี สบายสุข กรุงเทพธุรกิจ

          เมื่อโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่เส้นทาง “การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์” ที่ถูกเปรียบเปรยเสมือนเป็นการ “กลายพันธุ์” ของระบบนิเวศโลก ทั้งด้าน เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และสังคม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ที่จะทำให้โลกที่เราคุ้นเคยไม่อาจหวนกลับไปเหมือนเช่นเดิมได้อีกต่อไป

          “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub) แสดงวิสัยทัศน์บนเวที 4th NIC-NIDA Conference, 2025 หรืองานประชุมวิชาการระดับชาติและระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 ไว้ว่า

          จากการที่ได้เข้าร่วมประชุม World Economic Forum 2025 โลกในปัจจุบันแตกต่างอย่างมากจากยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่เราคุ้นเคย

          ก่อนหน้านี้เราเคยอยู่ในระเบียบโลกที่มีผู้นำฝ่ายเดียวคือ สหรัฐที่อนุญาตให้ประเทศอื่นเติบโตและเน้นธุรกิจ โลกาภิวัตน์และข้อตกลงการค้าเสรี ห่วงโซ่อุปทานที่เน้นการผลิตในจีน และองค์กรที่เป็นกลางอย่าง UN IMF และ World Bank มีอิทธิพลอย่างมาก

          แต่ทว่าโลกกำลังกลายพันธุ์ ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน เริ่มที่การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ จากผู้นำฝ่ายเดียวสู่หลายขั้วอำนาจและความเสี่ยงสงคราม ซึ่งเรากำลังออกจากโลกที่มีผู้นำฝ่ายเดียว ไปสู่โลกหลายขั้วอำนาจ ที่กำลังเป็น 3 ยักษ์ใหญ่อย่าง สหรัฐ จีน และอินเดีย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผู้นำอันดับหนึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่

          โดยในอดีตสถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นถึง 16 ครั้ง และ 11 ครั้งจบลงด้วยความรุนแรงก่อนที่จะมีการจัดระเบียบโลกใหม่ ประเมินได้ว่า ขณะนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่ความเสี่ยง 75% ของสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งอาจเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปีนี้ ขณะที่ยุโรปกำลังเผชิญความท้าทายในการรักษาบทบาท โดย โทนี แบลร์ ชี้ว่า ต้องเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 5% ของจีดีพีและต้องมีความสามารถในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามา มิฉะนั้นยุโรปอาจกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ของโลก”

          ขณะที่ ความเปลี่ยนแปลงด้าน “เศรษฐกิจโลก” ที่กำลังเคลื่อนจากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ไปสู่ภูมิภาคาภิวัตน์ (Regionalization) ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ DEFA (Digital Economy Framework Agreements) ซึ่งจะทำให้กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศรวมกันเป็นภูมิภาคที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยประชากร 600 ล้านคน และเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2030

          “ปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลคิดเป็น 15.5% ของจีดีพีโลก และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ในขณะที่ “ไทย” ยังคงพึ่งพาการค้าแบบเดิม ๆ เช่น การส่งออกข้าว ยางพารา และรถยนต์แบบดั้งเดิม แต่ “ประเทศจีน” เศรษฐกิจดิจิทัลคิดเป็น 44% ของจีดีพี และมีการส่งออกการค้าดิจิทัลและการค้าสีเขียวที่เติบโตถึง 300% การลงนาม DEFA จะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในรูปแบบดิจิทัลมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ามาในภูมิภาค”

          นอกจากนี้ ในยุคแห่งอนาคตจะมี “การปฏิวัติเทคโนโลยี” หรือ AI และ “ควอนตัมคอมพิวติ้ง” (Quantum Computing) ซี่งเป็นการเปลี่ยนแปลงด้าน “แรงงานครั้งใหญ่” โลกกำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 โดยมีการลงทุนอย่างหนักใน “เทคโนโลยีสำคัญ” อย่างเช่น  Block chain  AI  Big Data เป็นต้น

          โดยในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประชากรโลกให้ต้องกลับไปเรียนเพื่อพัฒนาทักษะเพิ่ม รวมถึงการค้นพบยาหรือวิธีการรักษาที่ใช้เวลา 150 ปี ลดลงเหลือเพียง 15 ปี เนื่องจากมนุษย์อาจมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี ซึ่ง AI จะลดต้นทุนทางการแพทย์ลง 20% แต่ก็คาดว่า จะทำให้งานในภาคการเงินหายไปอย่างน้อย 200,000 ตำแหน่ง ในอีก 5 ปีข้างหน้า และ Microsoft กำลังใช้ AI สร้างโปรตีนสังเคราะห์และวัสดุสังเคราะห์เพื่อมาทดแทนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัสดุที่ทำลายสิ่งแวดล้อม

          “จิรายุส” ได้กล่าวถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศว่า ปีนี้เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในแง่ของความเสียหายจากสภาพอากาศ มีผู้เสียชีวิต 7 ล้านคนจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งการแก้ไขวิกฤติสภาพภูมิอากาศต้องใช้เงินลงทุน 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ไปจนถึงปี 2050 ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินมหาศาล ดังนั้น ทางออกคือ การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในฝั่งการผลิต โดยกำลังมองหา AI เป็นโซลูชันสำหรับ “การดักจับคาร์บอน” และ “การจัดการพลังงาน”

          ขณะที่ ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับ “สังคมสูงวัย” (Aged Society) โดยไทยจะกลายเป็น “เศรษฐกิจสูงวัยเต็มตัว” ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และระหว่างประเทศด้วยกันอยู่ใน “จุดที่น่าเป็นห่วง” ดังนั้น ทำให้การแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ที่ต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนเป็นเรื่องที่ “ท้าทาย” อย่างมาก

          อย่างไรก็ตาม วิกฤติเหล่านี้ล้วนจะเกิดขึ้นพร้อมกัน และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย “รัฐบาลเดียว” หรือ “บริษัทเอกชนขนาดใหญ่” เพียงแห่งเดียว โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และเราจะไม่มีวันได้เห็นโลกแบบเดิมอีกต่อไป จึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกใหม่นี้