รศ.ดร.ณัฐกริช เปาอินทร์
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์การ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
หากเราพิจารณาการพัฒนาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จะเห็นได้ว่ามีหลากหลายแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายที่แต่ละชาติมีความมุ่งมาดปรารถนา โดยเฉพาะประเทศในซีกโลกตะวันตก อาทิ สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี มักเลือกใช้กลยุทธ์การวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ในทางตรงกันข้าม หลายประเทศในซีกโลกตะวันออกกลับเลือกแนวทางการพัฒนาแบบ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” หรือ “การพัฒนาออกข้าง” โดยอาศัยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน และปรับแต่งเพิ่มเติมในรายละเอียดเพื่อให้ตอบโจทย์ตลาดได้มากขึ้น
เหตุผลสำคัญที่หลายประเทศไม่เลือกเส้นทาง R&D อย่างเต็มตัวก็เพราะการวิจัยและพัฒนานั้นต้องใช้ทุนทรัพย์สูงมาก แถมยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและโอกาสล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่า หากความพยายามประสบความสำเร็จแม้เพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล เพราะเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกคิดค้นจะสามารถตอบโจทย์มนุษยชาติในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
เราจึงเห็นว่า เทคโนโลยีขั้นสูงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ อากาศยาน หรือยารักษาโรค มักมีต้นกำเนิดจากประเทศตะวันตก เช่น Tesla รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังของโลกที่ถือกำเนิดจากวิสัยทัศน์ของ Elon Musk เป็นต้น
คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ “ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของโลกได้หรือไม่?” และหากจะลองเดินเส้นทางนี้ เราจะสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่ตามมาได้แค่ไหน? หรือหากเราเลือกไม่เดินทางนี้เลย จะน่าเสียดายหรือไม่ที่ต้องพลาดโอกาสในการเป็น “ผู้สร้าง” แทนที่จะเป็น “ผู้ตาม”
เมื่อพิจารณาทางเลือก เราอาจสรุปแนวทางหลัก ๆ ได้สองแนวทาง กล่าวคือ
- การนำเข้าความรู้และเทคโนโลยี (Outsource)
แนวทางนี้คือการดึงบริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดโรงงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างผลผลิตที่เราต้องการ วิธีนี้อาจทำให้เราได้ผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย ทว่า เราจะยังคงเป็นผู้บริโภค หรืออย่างมากก็เป็นผู้ผลิต “กลางน้ำ” ที่ไม่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมของตนเองได้ และที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ อาจทำให้เรา “เสพติด” เทคโนโลยีจากต่างชาติอย่างถาวร - การสร้างและสนับสนุนบุคลากรไทยให้สร้างนวัตกรรมของตนเอง
ทางเลือกนี้คือการผลักดันให้คนไทยที่มีศักยภาพสูงทางด้านเทคโนโลยี เลือกกลับมาทำงานร่วมกับ“ทีมประเทศไทย” แทนที่จะทำงานให้กับบริษัทระดับโลก ซึ่งแนวทางนี้จะใช้เวลานานกว่ามาก หากแต่ให้ผลลัพธ์ยั่งยืนกว่า เพราะหากเราสร้างนวัตกรรมจาก “สมองคนไทย” ได้จริง เราจะกลายเป็นผู้ผลิตต้นน้ำที่สามารถส่งออกความรู้และเทคโนโลยีให้แก่โลกกับเขาบ้าง

ที่สำคัญก็คือ ผลผลิตที่เกิดจาก “ความหลงใหล” (passion) ของผู้สร้าง ย่อมทรงคุณค่ากว่าสิ่งที่เกิดจากเพียงหน้าที่การงาน เพราะนวัตกรรมจำนวนไม่น้อยไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างเวลาทำงาน แต่มาจากการทดลอง การครุ่นคิด และ ความทุ่มเทนอกเวลาโดยแท้
ดังนั้นเพื่อให้แนวทางที่สองเกิดขึ้นได้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้าง “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมอย่างแท้จริง และนั่นหมายถึงการ “เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการพัฒนา” ของทั้งประเทศ โดยไม่ละทิ้งจุดแข็งเดิมที่มีอยู่
เราควรสร้าง “สมดุล” ที่กลมกล่อมระหว่างแนวทาง การสร้างสิ่งใหม่ และ การต่อยอดจากสิ่งที่มีโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรามีความพร้อมอยู่แล้ว เช่น ด้าน Soft Power ที่ไทยมีทรัพยากรทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์อันโดดเด่น

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ เราควรผสมสองแนวทางนี้ในสัดส่วนเท่าใด? และจะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่เริ่มฝัน เริ่มลงมือ และเริ่มสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาจริง ๆ?
คำตอบของทุกคำถามที่ได้กล่าวมาก็คือ เราจำเป็นต้อง “สร้างวัฒนธรรมของการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี” ขึ้นในใจให้กับคนในรุ่นต่อไป และนั่นคือภารกิจสำคัญของพวกเราทุกคนที่เป็นคนไทยในรุ่นปัจจุบัน