โดย
รองศาสตราจารย์ ดร. สุวิชิต ชัยดรุณ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น
รองศาสตราจารย์ ดร. จุฑาพรรธ์ ผดุงชีวิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สรุปเนื้อหาโดย ศาสตราจารย์ ดร. วิสาขา ภู่จินดา
ในการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 ได้มีการจัดการเสวนาวิชาการ (Special Panel Discussion “Inclusive Innovation: Case-Based Approaches to Bridging Social Gaps”) ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2568 ณ อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยหนึ่งในช่วงการเสวนาที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งคือ การบรรยายโดย รองศาสตราจารย์ ดร. สุวิชิต ชัยดรุณ จากภาควิชาวัฒนธรรมและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น นำเสนอแนวทางการเรียนการสอนที่เรียกว่า “Case Teaching as Student-Centered Pedagogy” ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์การสอนที่มุ่งเน้นการใช้กรณีศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและอคติที่แฝงเร้น (Unconscious Bias)
เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการดังกล่าว วิทยากรได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงและเป็นที่รู้จักในระดับสากล 2 กรณี กรณีแรกคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัท Starbucks ที่เมือง
ฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ในปี 2018 ซึ่งพนักงานผิวขาวได้โทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาควบคุมตัวลูกค้าผิวสี 2 คนที่เข้ามานั่งรอเพื่อนในร้านโดยยังไม่ได้สั่งเครื่องดื่ม เหตุการณ์นี้ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในโซเชียลมีเดีย และนำไปสู่การประณามว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ (Racial Discrimination) ผลกระทบที่รุนแรงทำให้บริษัท Starbucks ต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณะและตัดสินใจปิดสาขาทั่วประเทศเป็นเวลา 4 วัน เพื่อจัดการอบรมพนักงานอย่างเข้มข้น ส่วนกรณีที่สองเกิดขึ้นที่ Starbucks เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งพนักงานได้วาดภาพล้อเลียนลักษณะ “ตาตี่” (Slanted Eyes) บนถ้วยกาแฟของลูกค้าหญิงเชื้อสายไทย การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการเหมารวมทางเชื้อชาติ (Racial Stereotype) และสร้างความไม่พอใจอย่างมาก จนในที่สุดบริษัทต้องยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกค้าท่านนั้น วิทยากรชี้ว่า กรณีศึกษาทั้งสองนี้เป็นเครื่องมือการสอนที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางกฎหมาย ธุรกิจ จริยธรรม และสังคมวัฒนธรรม
การนำเหตุการณ์จริงเหล่านี้มาใช้ในห้องเรียน จะเป็นการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” (Safe Space) ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เอื้อให้นักศึกษาสามารถอภิปราย ถกเถียง และวิเคราะห์ประเด็นที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้อย่างเปิดเผยและสร้างสรรค์ โดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) กล่าวคือ นักศึกษาจะเป็นผู้ตั้งประเด็นและขับเคลื่อนการสนทนาด้วยตนเอง แทนที่อาจารย์จะเป็นผู้ชี้นำหรือบอกคำตอบ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าการเรียนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียว การเรียนการสอนด้วยกรณีศึกษาในลักษณะนี้ มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อส่งเสริมแนวคิดเรื่อง DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเป้าหมายสำคัญของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ของสหประชาชาติอีกด้วย
หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจความเหลื่อมล้ำ คือการตระหนักรู้ถึง “อคติที่แฝงเร้น” (Unconscious Bias) ซึ่งเป็นทัศนคติหรือการเหมารวมที่เรามีต่อบุคคลอื่นโดยไม่รู้ตัว และมักเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากประสบการณ์ ค่านิยม และอิทธิพลทางสังคมที่สั่งสมมา วิทยากรได้อ้างอิงถึงงานวิจัยของศาสตราจารย์ Joan C. Williams จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งได้จำแนกรูปแบบของ Unconscious Bias ที่พบบ่อยในองค์กรไว้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Prove-it-again (การต้องพิสูจน์ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า) ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนกลุ่มน้อยที่ต้องทำงานหนักกว่าเพื่อพิสูจน์ความสามารถ The Tightrope (การเดินบนเส้นด้าย) ซึ่งเป็นการจำกัดกรอบพฤติกรรมที่ยอมรับได้ของคนบางกลุ่มให้แคบกว่าคนกลุ่มอื่น Tug of War (ชักเย่อ) ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มคนชายขอบด้วยกันเอง Maternal Wall (กำแพงของความเป็นแม่) ซึ่งเป็นอคติต่อผู้หญิงที่เป็นแม่ว่ามีความทุ่มเทกับงานน้อยลง และ Racial Stereotype (การเหมารวมทางเชื้อชาติ) ซึ่งเป็นการตัดสินบุคคลจากเชื้อชาติหรือภาพลักษณ์ภายนอก
โดยสรุป การนำกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมมาใช้ในการเรียนการสอน เป็นยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอคติที่แฝงเร้นและส่งเสริมหลักการ DEI การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียนให้นักศึกษาได้สำรวจและท้าทายทัศนคติของตนเองและผู้อื่น จะนำไปสู่การพัฒนากระบวนการคิดที่มีวิจารณญาณ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างบัณฑิตที่มีความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ พร้อมที่จะเป็นผู้นำในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
การบรรยายพิเศษและการประชุมเชิงปฏิบัติการ นำเสนอโดย รองศาสตราจารย์ ดร. จุฑาพรรธ์ ผดุงชีวิต ซึ่งได้นำเสนอแนวทางเชิงลึกในการใช้กรณีศึกษา (Case Research Studies) เป็นเครื่องมือในการสำรวจและลดช่องว่างทางสังคม โดยอาศัยกรอบทฤษฎีการสื่อสารองค์การเชิงสตรีนิยม (Feminist Organizational Communication) และแนวคิดเชิงปัญญาปฏิบัติ (Phronesis Praxis) ในการขับเคลื่อนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม (Diversity, Equity, and Inclusion – DEI)
การบรรยายได้เริ่มต้นด้วยการสำรวจภูมิทัศน์ของประเด็น DEI ที่เกิดขึ้นร่วมสมัยในองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ผ่านแนวทางการวิจัยกรณีศึกษาเชิงปัญญาปฏิบัติ (Phronesis Case Study Research) โดยได้ให้คำนิยามของ DEI ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม อันได้แก่ D (Diversity) ที่หมายถึงความหลากหลาย E (Equity) ที่หมายถึงความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม ซึ่งเน้นการจัดสรรโอกาสและทรัพยากรตามความจำเป็นของแต่ละบุคคล และ I (Inclusivity) ที่หมายถึงการมีส่วนร่วม ซึ่งมีระดับตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง (Transformational) การบรรยายได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่องค์กรต่างๆ กำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นกระแสต่อต้านการตื่นตัวทางสังคม (Anti-Woke) การดำเนินนโยบาย DEI อย่างเงียบๆ เนื่องจากแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ (Quiet DEI) หรือการนำเสนอเรื่องช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศ (Gender Pay Gap) ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบุคลากร นอกจากนี้ ยังได้มีการแนะนำคำศัพท์ใหม่ๆ ที่สะท้อนถึงปัญหาเชิงลึกของ DEI ในปัจจุบัน เช่น Inclusion Burnout (ความเหนื่อยล้าขององค์การจากการทำ DEI) Cosmetic Diversity (ความหลากหลายเพียงภายนอก) Check-the-BOX Diversity (การทำ DEI เพียงเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในลักษณะของ Tokenism) DEI Retrenchment (การถอยหลังจากจุดยืนเดิมด้าน DEI) และ Weaponizing DEI (การใช้ DEI เป็นเครื่องมือทางการเมือง)
วัตถุประสงค์หลักของการนำเสนอคือการวิเคราะห์พลวัตของอำนาจระหว่างกลุ่มที่มีเสียง (Empowered) และกลุ่มที่ถูกทำให้เงียบ (Silenced) โดยตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ว่า เหตุใดองค์กรเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Meta Google และ Amazon จึงปรับลดพนักงานในฝ่าย DEI การกระทำดังกล่าวอาจสะท้อนถึงภาวะ “การล่าอาณานิคมทางความรู้ (Knowledge Colonialism)” สืบเนื่องจากการที่สำนักงานใหญ่ในโลกตะวันตกกำหนดแนวทาง DEI โดยไม่คำนึงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของสาขาในภูมิภาคอื่น การบรรยายจึงได้เรียกร้องให้เกิดกระบวนการ “รื้อถอนอาณานิคมทางความรู้ (Decolonization)” เพื่อตั้งคำถามกับการครอบงำขององค์ความรู้ตะวันตกและส่งเสริมการปฏิบัติที่สะท้อนคิด (Reflexive) วิพากษ์ (Critical) และสร้างสรรค์ (Constructive) โดยคำนึงถึงความตึงเครียดทางวัฒนธรรมและศาสนาในระดับท้องถิ่น การบรรยายนี้จึงเป็นโครงการเชิงการเมืองและจริยธรรมที่มุ่งขยายเสียงของกลุ่มคนชายขอบ (Marginalized) เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ โดยใช้กรอบการสื่อสารองค์การเชิงสตรีนิยม (Feminist Organizational Communication – FOC) เป็นเครื่องมือในการท้าทายสมมติฐานดั้งเดิมของการจัดการเชิงอำนาจ
ในเชิงปฏิบัติ การบรรยายได้นำเสนอกรณีศึกษาตัวอย่างเพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติสำหรับการสื่อสารที่ครอบคลุม (Inclusive Communication) โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีวัฒนธรรมร่วม (Co-Cultural Theory) ของ Orbe (Orbe, M. P., 1998) เพื่อทำความเข้าใจยุทธศาสตร์การสื่อสารของกลุ่มคนต่างๆ และผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ (การผสมกลมกลืน การปรับตัว หรือการแยกตัว) ซึ่งตรงข้ามกับนโยบายขององค์กรขนาดใหญ่ที่มักเป็นการสื่อสารจากบนลงล่าง (Top-down) และจำกัดการมีส่วนร่วม ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือการสร้าง “พื้นที่แห่งการสนทนา (Dialogic Spaces)” เพื่อเปิดรับอัตลักษณ์ที่หลากหลาย การตระหนักรู้ถึงความไม่สมมาตรของอำนาจ (Power Asymmetries) เพื่อลดการกระทำที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ (Tokenism) และการปรับใช้นโยบาย DEI ระดับโลกให้เข้ากับกรอบวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยส่งเสริมการเจรจาต่อรองแทนที่จะใช้แนวทางเดียวที่เหมาะกับทุกคน (One-size-fits-all) หัวใจสำคัญคือการสร้าง “สภาวะแวดล้อมที่ครอบคลุม (Climate of Inclusion)” ซึ่งนิยามโดย Shore et al. (2011) ว่า Inclusion = Belongingness + Uniqueness หมายถึงสภาวะที่บุคคลรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้
ในช่วงท้ายของการบรรยาย ได้มีการทลายความเชื่อที่ผิดว่ากรณีศึกษาเป็นวิธีการที่ไม่เป็นระบบพอสำหรับการเรียนการสอน โดยยืนยันว่าการสอนโดยใช้กรณีศึกษา (Case-based Teaching) เช่น โมเดลของ Harvard Business School เป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุด เพราะช่วยให้นักศึกษาได้ฝึกฝน “ปัญญาปฏิบัติ (Phronesis)” ผ่านการตัดสินใจในสถานการณ์จริง และได้มีการยกตัวอย่าง “กรณีศึกษาเชิงวิพากษ์ปี 2020 (2020 Critical Case)” ซึ่งติดตามเหตุการณ์การสื่อสารในองค์กร ตั้งแต่การประกาศโครงการ การรับแรงคัดค้าน จนถึงการปรับเกณฑ์ เพื่อวิเคราะห์วาทกรรมเรื่อง “ความเป็นธรรม ปะทะ การเลือกที่รักมักที่ชัง (Fairness vs. Favoritism)” และการตีความตัวชี้วัดของ “DEI ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven DEI)”
นอกเหนือจากการบรรยายแล้ว กิจกรรมยังได้ต่อยอดไปสู่ “การประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการเขียนกรณีศึกษา (Workshop on How to Write a Case Study)” กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้เข้าร่วมและผู้นำเสนอในระดับกลุ่มย่อย ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงภาคทฤษฎีที่ได้จากการบรรยายเข้ากับการลงมือปฏิบัติจริง โดยสรุปแล้ว ทั้งการบรรยายและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการได้นำเสนอภาพที่ชัดเจนว่า การใช้กรณีศึกษาที่ครอบคลุม (Inclusive Cases) ซึ่งได้รับการวิเคราะห์ผ่านมุมมองเชิงวิพากษ์และจริยธรรม จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริม “องค์กรที่ยุติธรรม (Just Organizations)” และลดช่องว่างทางสังคมและวัฒนธรรม (Socio-cultural GAPS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน