โดย ผศ.ดร.ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มีวิสัยทัศน์และพันธกิจที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่การเป็นสถาบันสรรสร้างทางปัญญาของสังคม สร้างผู้นำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้ปรัชญา “Wisdom for Sustainable Development สร้างปัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
การเชื่อมโยงระหว่าง SDG 10 กับสังคมสูงอายุ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์ อธิบายว่า SDG 10 หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 10 ขององค์การสหประชาชาติ มีจุดประสงค์เพื่อ ลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมกัน ในมิติต่าง ๆ ของสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงบริการสาธารณะ
เมื่อพิจารณาในบริบทของ สังคมสูงอายุ ซึ่งหมายถึงสังคมที่มีประชากรช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% (ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2567 โดยมีประชากรสูงอายุถึง 20% หรือประมาณ 14 ล้านคน) เราจะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุนั้น มีสาเหตุหลักจาก ความไม่เท่าเทียมที่เกิดจากอายุ (Ageism) ซึ่งมาในหลายรูปแบบ ได้แก่:
- อคติในการจ้างงาน: การกำหนดให้ผู้สูงอายุต้องเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ถือเป็นการเหยียดอายุที่จำกัดโอกาสในการทำงาน
- สถานะทางสังคม: การมองว่าผู้สูงอายุเป็น “ผู้เฒ่า” ที่ไม่ควรทำงานหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญด้วยตนเอง
- สุขภาพที่เสื่อมถอย: สุขภาพที่แย่ลงตามวัย นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมในการใช้ชีวิต
- มายาคติทางสังคม: การมองว่าผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นมายาคติที่ควรแก้ไข เพื่อให้ผู้สูงอายุยังคงมีศักดิ์ศรีและสามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเองได้
ความสำคัญของข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Data)
การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัย ข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่สามารถนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ข้อมูลที่ดีควรเป็น ข้อมูลแบบระยะยาว (Longitudinal Panel Data) ที่ติดตามกลุ่มประชากรเดิมตลอดช่วงชีวิต เพื่อให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในมิติที่หลากหลาย เช่น สุขภาพ การทำงาน รายได้ และความพึงพอใจ
ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ดำเนินการโครงการสำรวจและศึกษาสุขภาพ การสูงอายุ และการเกษียณในประเทศไทย หรือ โครงการ HEART มาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดิมที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปใน 13 จังหวัด ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้นักวิจัยเข้าใจถึงวิถีชีวิตผู้สูงอายุในไทย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างประโยชน์จากการใช้ข้อมูลของโครงการ HEART ได้แก่:
- การประมาณการอายุการทำงาน: จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าผู้สูงอายุไทยวัย 60 ปี สามารถทำงานต่อไปได้อีกประมาณ 5.4 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดการขยายอายุเกษียณ
- การศึกษาดัชนีเงินเฟ้อ: กำลังพัฒนาตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อโดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น
- การวิเคราะห์โครงสร้างครอบครัว: ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างครอบครัวที่กำลังเข้าสู่รูปแบบผู้สูงอายุอยู่คนเดียวมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการกำหนดนโยบายด้านครอบครัว
ข้อมูลของโครงการ HEART ยังได้รับความสนใจจากนานาชาติ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้ในการสร้างความร่วมมือระดับสากลเพื่อการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ความท้าทายและการก้าวต่อไป
แม้จะมีข้อมูลที่มีคุณค่า แต่การนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ยังคงเป็นความท้าทายหลัก รศ.ดร. ดารารัตน์ ชี้ว่าความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่:
- การสลายมายาคติ: ต้องทำความเข้าใจว่าการสูงอายุไม่ได้หมายถึงการไร้ค่า แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีศักดิ์ศรีและสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้
- การใช้ประโยชน์จากข้อมูล: ข้อมูลที่รวบรวมมาด้วยความพยายามและงบประมาณจำนวนมากยังไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในหน่วยงานภาครัฐ จึงต้องส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยกับหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น
- ความยั่งยืนของโครงการ: การเก็บข้อมูลระยะยาวต้องอาศัยงบประมาณและความต่อเนื่อง ซึ่งในประเทศไทยยังคงเป็นข้อจำกัด
การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้สูงอายุในสังคมไทยอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยทั้งการ เปลี่ยนทัศนคติ ของคนในสังคม และการ ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงประจักษ์ ในการกำหนดนโยบายที่ตรงกับความต้องการของคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในปัจจุบันและอนาคต