4th NIC-NIDA Conference, 2025 Keynote Speakers

งานประชุมวิชาการระดับชาติและระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 (4th NIC-NIDA Conference, 2025)

ปาฐกถาพิเศษ : Michaela Friberg-Storey

United Nations Resident Coordinator in Thailand

            ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคปัญญาประดิษฐ์ ปาฐกถาของ Michaela Friberg-Storey    ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึง “ความย้อนแย้งของยุคปัญญาประดิษฐ์” ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ขณะที่เทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กลับกำลังถอยหลังกว่า 80% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนวิกฤตอย่างแท้จริง ในมุมมองขององค์ปาฐก คือ สัญญาณเตือนว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไม่สามารถเดินแยกขาดจากนวัตกรรมและ AI ได้อีกต่อไป

            สิ่งที่น่าสนใจคือการมองเห็นบทบาทของสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะในประเทศไทย ผ่านเครือข่าย SUN Network ที่ครอบคลุมนักศึกษากว่า 600,000 คน นี่ไม่ใช่เพียงแค่การผลิตบัณฑิต หากแต่คือการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจทั้งด้านดิจิทัลและการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมพลังให้สตรี ครู และเยาวชนในด้านทักษะดิจิทัลจึงถูกยกขึ้นเป็นตัวอย่างรูปธรรมของ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ในยุคเทคโนโลยี ปาฐกถานี้ยังชี้ให้เห็นบทบาทของสหประชาชาติในฐานะ “เวทีเชื่อม” ระหว่างวิทยาศาสตร์และนโยบาย โดยมีการประกาศตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิอิสระด้าน AI และเวทีสนทนาระดับโลกด้านธรรมาภิบาล AI เพื่อตอบโจทย์ทั้งความเสี่ยงและโอกาส การกำหนดวันประชุมใหญ่ในเจนีวา ปี 2026 และนิวยอร์ก ปี 2027 คือการส่งสัญญาณว่าโลกไม่อาจละเลยกติกาใหม่ที่เทคโนโลยีเรียกร้อง ท้ายที่สุด

            ผู้บรรยายทิ้งคำถามที่สำคัญต่อทุกสังคม “คนรุ่นก่อนจะปรับตัวต่อเทคโนโลยีได้หรือไม่? และคนรุ่นใหม่จะถูกเสริมพลังอย่างไรเพื่อเป็นกำลังหลักของการพัฒนา?” คำถามเหล่านี้ทำให้เห็นว่า ความร่วมมือในยุคปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่คือการออกแบบอนาคตร่วมกัน เพื่อให้ “ความฉลาด” ของเทคโนโลยีเป็นพลังสร้างความเท่าเทียม มากกว่าที่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำ

ปาฐกถาพิเศษ : Mr. Zhao Mengtao

Counselor at the Embassy of the People’s Republic of China in the Kingdom of Thailand

            ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ย้ำถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจดิจิทัลในฐานะ “สะพานแห่งความร่วมมือ” ระหว่างจีน–ไทย โดยจีนพร้อมเปิดกว้างด้านการวิจัย การพัฒนา และการแบ่งปันทรัพยากร เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน

            นอกจากนี้ ยังเน้นบทบาทของจีนในการขับเคลื่อนกรอบการกำกับดูแล AI ระดับโลกที่สมดุลและมีฉันทามติ พร้อมเชิญชวนบุคลากรจากทั่วโลกเข้าร่วมความร่วมมือด้าน AI เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน โดยท่านได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยวิสัยทัศน์ “เทคโนโลยีทำให้ชีวิตดีขึ้น” ชี้ให้เห็นว่า ความร่วมมือจีน–ไทยในมิติเทคโนโลยี คือก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

ปาฐกถาพิเศษ : ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

“พลังจากฐานราก: แผนใหม่เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ”

            ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ได้นำเสนอแนวคิดเชิงวิพากษ์ต่อรูปแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะทฤษฎีการไหลริน (trickle-down theory) ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างทั่วถึง แต่กลับก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่สงบทางสังคม ปาฐกถานี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ สู่การเติบโตจากฐานราก ที่มุ่งเน้นการเสริมพลังบุคคลและชุมชนให้สามารถปลดปล่อยศักยภาพของตนเองได้

            ผู้บรรยายได้วิจารณ์โครงสร้างทางกฎหมาย การศึกษา การเมือง และเศรษฐกิจที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตระดับฐานราก พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนทัศนคติในการมอง “ประชาชน” ว่าเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง มิใช่เพียงผู้รอคอยความช่วยเหลือ ตัวอย่างจากประเทศไทย เช่น ธนาคารชุมชน ระบบสวัสดิการ และโครงการที่อยู่อาศัย แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนาจากล่างขึ้นบน ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม

            ดร.กอบศักดิ์ จึงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ทั้งการออกแบบกฎหมายใหม่เพื่อหนุนการเติบโตจากฐานราก การปรับการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็ก การกระจายอำนาจทางการเมืองเพื่อเสริมความเข้มแข็งแก่ชุมชน และการแก้ไขโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อคนเพียงบางกลุ่ม พร้อมทั้งเสนอให้ขยายโครงการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนเพื่อรองรับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ปาฐกถาพิเศษ : รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ  นายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

“บทบาทของคุณค่าในเทคโนโลยีและความร่วมมือ”

            รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ได้นำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีต่อสถาบันหลักของสังคม ได้แก่ ครอบครัว โรงเรียน และสื่อ โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปลูกฝังคุณค่าในโลกปัจจุบัน ผู้บรรยายแสดงความกังวลต่อบทบาทของเทคโนโลยีในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือ และอุปสรรคที่เกิดขึ้น เช่น การขาดความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

            ปาฐกถานี้ยังกล่าวถึงความสำคัญของ “คุณค่า” ในการพัฒนาที่ยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีจริยธรรม โดยชี้ว่าจำเป็นต้องปลูกฝังคุณค่าให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี และป้องกันปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทุจริต ผู้บรรยายยังวิพากษ์ถึงบทบาทของการศึกษาและสื่อ โดยชี้ว่าการยกย่องตัวละครด้านลบเป็น “ฮีโร่” สะท้อนถึงความเสื่อมถอยของคุณค่าในสังคม

            ในเชิงนโยบาย ผู้บรรยายเสนอให้บูรณาการ “คุณค่าที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” เข้าไปในกระบวนการพัฒนา AI และเทคโนโลยี รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายและสถาบันต่าง ๆ โดยมีคุณค่าเป็นรากฐาน อีกทั้งเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนส่งเสริม “ประโยชน์ส่วนรวม” ผ่านความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนความไว้วางใจและจริยธรรม

            ปาฐกถาสรุปด้วยการตอกย้ำว่า “คุณค่า” คือหัวใจเร่งด่วนของยุคปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งไม่เพียงแต่จำเป็นต่อความร่วมมือและการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ยังเป็นเกราะป้องกันสังคมจากการถูกครอบงำด้วยเทคโนโลยีโดยปราศจากหลักยึดทางศีลธรรมและสังคม