เปิดข้อเสนอขยายพื้นที่ อีอีซี โมเดลใหม่สร้างรายได้ ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ

เปิดข้อเสนอขยายพื้นที่ “อีอีซี” โมเดลใหม่สร้างรายได้ ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ

Published

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

https://www.bangkokbiznews.com/business/1012151

Abstract

นักวิชาการแนะรัฐบาลจับมือ กทม.ใช้กฎหมายอีอีซีขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกจาก 3 จังหวัดมาครอบคลุมพื้นที่ กทม.ฝั่งตะวันออก ดึงกรุงเทพธนาคมเข้าร่วมลงทุน รองรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ดันเป็นศูนย์กลางการเงิน-ศูนย์กลางธุรกิจภูมิภาค

          นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผย“กรุงเทพธุรกิจ” ว่าในอนาคตรายจ่ายของรัฐบาลจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและในช่วงที่เผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ได้มีการกู้ยืมเงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาทเพื่อมาใช้รับมือกับโควิด-19 เมื่อรวมกับภาระการใช้คืนหนี้สาธารณะที่มีขนาดรวมกันถึงเกือบ 10 ล้านล้านบาทจึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องหาวิธีการสร้างรายได้ใหม่ๆด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศควบคู่ไปกับการเพิ่มการลงทุน

           ทั้งนี้แนวทางหนึ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการคือใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่กำหนดไว้ในมาตราที่ 6 ของ พ.ร.บ.ที่กำหนดให้พื้นที่อื่นใดที่อยู่นอกเหนือ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และจ.ระยอง ให้คณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)สามารถที่จะออกพระราชกฤษฎีกาเพิ่มเติมในการกำหนดให้บางพื้นที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและได้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนเช่นเดียวกับในพื้นที่อีอีซี

           ทั้งนี้พื้นที่ที่เหมาะสมที่จะขยายขอบเขตเศรษฐกิจพิเศษของอีอีซีมาคือพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.)

           โดยอาจประกาศเป็นโซนแรกก่อนในพื้นที่ กทม.บริเวณโซนด้านตะวันออกที่เชื่อมต่อและมีพื้นที่ใกล้เคียงกับจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งในพื้นที่บริเวณนี้ถือว่ามีการขยายตัวของเมืองที่รวดเร็ว มีโครงสร้างพื้นฐานหลักได้แก่รถไฟฟ้าทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก รถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่กำลังจะเปิดให้บริการภายในต้นปีหน้าทำให้การเดินทางมีความสะดวกสบายและมีความพร้อมเป็นอย่างมาก

           นอกจากนี้พื้นที่ใน กทม.มีข้อได้เปรียบหลายเมืองที่ต้องการเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนเนื่องจากที่ตั้งของ กทม.ถือว่าอยู่ในบริเวณศูนย์กลางของอาเซียนสามารถเดินทางไปยังประเทศอื่นๆได้โดยใช้เวลาไม่นานมากจนเกินไป ขณะที่ในเรื่องของค่าครองชีพก็ไม่สูงจนเกินไปทำให้เป็นประเทศที่น่าสนใจที่จะเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ หรือลงทุน ซึ่งหากมีการจูงใจให้เข้ามาลงทุนได้มากทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุนและภาษีจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงานในสาขาอื่นๆเพิ่มเติมซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

           นอกจากนั้นในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฝั่งตะวันออกก็ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา)ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกด้วยจึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมจะผลักดันให้เป็นอีกพื้นที่หนึ่งในการดึงดูดการลงทุนทั้งการตั้งสำนักงานใหญ่สำหรับภูมิภาค (Regional Hub)

           รวมทั้งที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมูลค่าสูงที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาอยู่อาศัยและสามารถเดินทางไปทำงานได้ทั้งในพื้นที่อีอีซี และใน กทม.