สนทนากับ ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อยู่เบื้องหลัง NIDA Poll

สนทนากับ ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อยู่เบื้องหลัง NIDA Poll

Authors

ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์


ต่อความเชื่อมั่นและความแม่นยำของผลสำรวจ NIDA Poll ภายใต้ปรัชญาที่ว่า “ถูกต้อง เที่ยงตรง ด้วยคุณภาพตามหลักวิชาการ” ในการสำรวจและทำนายผลการเลือกตั้ง กรณี การเลือกตั้ง 2566 NIDA Impacts ได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อยู่เบื้องหลัง NIDA Poll ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ในการให้ข้อมูลเจาะลึกถึงวิธีการทำงานของ NIDA Poll รวมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับโอกาสที่แต่ละพรรคจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 2566

            โดย ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ เกริ่นถึงความเป็นมาของ NIDA Poll เริ่มจากปี 2550 ที่กลับมาดำเนินการอีกครั้งโดยการริเริ่มของ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีในสมัยนั้น โดยเสนอวิธีการเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ เนื่องจาก ศ. ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เชื่อว่าคนไทยใช้โทรศัพท์มือถือกันโดยทั่วไปแล้ว หรือประมาณร้อยละ 70-80 ในการนี้ ศ. (เกียรติคุณ) ดร.ประชุม สุวัตถี อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ ได้ช่วยวางกรอบแนวคิดให้ NIDA Poll ทำการย่อประเทศไทยลงมาจากประชากร 60 กว่าล้านคนให้มาอยู่ที่หลักหมื่นถึงแสนเพื่อที่จะสามารถจัดการกับข้อมูลได้ จากนั้น รศ.ดร.ปราโมทย์ กั่วเจริญ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ ได้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์มือถือและการสุ่ม (random) จากฐานข้อมูล (data base) ที่เรียกว่า Master Sample (ตัวอย่างหลัก) โดยโปรแกรมจะสุ่มหมายเลขโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อนำไปใช้ดำเนินการในการสำรวจต่อไป

            “พนักงานเก็บข้อมูลของ NIDA Poll จะสอบถามผู้ให้ข้อมูลเป็นอันดับแรกว่ายินดีจะร่วมแสดงความคิดเห็นกับNIDA Poll หรือไม่ ถ้ายินดีจึงจะสอบถามต่อไป โดย NIDA Poll ไม่เคยขอชื่อ เลขบัตรประชาชน หรือเลขบัญชีธนาคารใด ๆ ทั้งสิ้น เราต้องการเพียง bio data (ข้อมูลย่อเกี่ยวกับชีวประวัติ) เช่น เพศ อายุ ศาสนา ภูมิลำเนา ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เป็นต้น หลังจากเก็บที่ข้อมูลตัวอย่างหลักสะสมถึง 4 – 5 หมื่นราย NIDA Poll ก็จะเริ่มทำโพล ระบบนี้มีข้อดีตรงที่สามารถกำหนดได้ว่าต้องการประชากรและกลุ่มเป้าหมายใด ในเรื่องการทำโพลนั้นถ้าเก็บข้อมูลถูกกลุ่มเป้าหมายคำตอบก็ถือว่าถูกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของคำถามที่เราถาม ความไว้วางใจระหว่างผู้ถามกับผู้ตอบ ผู้ที่ไว้วางใจเราก็จะตอบตามความเป็นจริง ดังนั้น การจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์มือถือ หรือที่เรียกว่า Master Sample ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น จึงถือว่าเป็นการสร้างความไว้วางใจในเบื้องต้น เพราะเมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นในครั้งต่อไปผู้ตอบก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกและยินดีที่จะสนทนาด้วย ถ้าเราเป็นคนแปลกหน้าโทรไปผู้ตอบอาจจะไม่ยินดี หรือถ้าเป็นการลงพื้นที่การเป็นคนแปลกหน้าอาจจะทำให้เขาไม่ไว้วางใจ ไม่ให้คำตอบ การสุ่มหมายเลขโทรศัพท์มือถือจึงเป็นวิธีการที่ดีในการที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ยิ่งเป็นสมาชิกเดิมก็จะไว้วางใจเรา”

            เมื่อถามถึงวิธีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ได้ยกตัวอย่างการทำนายผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2556 ว่า NIDA Poll เป็นโพลสำนักเดียวที่สามารถทำนายได้อย่างถูกต้องว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร จะได้รับชัยชนะ เนื่องจากอาศัยโปรแกรมเป็นตัวกำหนดเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคน กทม. ออกมา จึงไม่มีคนจังหวัดอื่นเข้ามาในผลสำรวจ

“เปรียบเทียบกับการลงพื้นที่ เช่น ตลาดบางกะปิ ถ้าลงไปเก็บแบบสอบถาม 100 ชุด ก็อาจจะได้คำตอบจากคน กทม. สัก 70 ชุด ที่เหลือเป็นประชากรแฝงที่ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน กทม. เป็นต้น หรือถ้าต้องการกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงที่มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคอีสาน อายุ 40 ปีขึ้นไป โปรแกรมก็สามารถที่จะกำหนดเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคนกลุ่มนี้ออกมา”

            ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ได้เสริมถึงวิธีการเก็บข้อมูลของ bio data ที่มีความละเอียดซึ่งเป็นส่วนได้เปรียบในความแม่นยำของผลสำรวจ NIDA Poll ว่า สำนักโพลทั่วไปมักจะเก็บข้อมูลที่แจกแจงองค์ประกอบของเพศกับพื้นที่เป็นหลัก ขณะที่ NIDA Poll ได้เก็บข้อมูลเพิ่มเติมในองค์ประกอบของ generation (รุ่น) หรืออายุ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุดที่ NIDA Poll ถูกจัดว่าเป็นสำนักที่ทำนายผลได้อย่างแม่นยำที่สุด การเก็บข้อมูลได้แบ่งสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างของอายุ 5 ช่วง ได้แก่ 18-25 ปี 26-35 ปี 36-45 ปี 46-59 ปี และ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งสัดส่วนของเพศชาย-หญิง แต่ละเขตทั้ง 50 เขต ตามสัดส่วนของประชากรทั้ง กทม. โดยหลังจากได้ข้อมูลทั้งสามองค์ประกอบ คือ เพศ อายุ และพื้นที่ ครบแล้ว จึงทำการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ตรงกับทั้งสามองค์ประกอบออกมาเพื่อเก็บข้อมูลต่อไป

            “การเก็บข้อมูลที่กระจายสัดส่วนให้เท่าเทียมกับจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องใช้เวลาในการดำเนินการหาตัวอย่างที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ระบบโทรศัพท์มือถือช่วยให้ NIDA Poll เข้าถึงตัวอย่างได้ ไม่ว่าท่านนั้นจะอยู่ในบ้านมีรั้ว ชุมชน คอนโดมิเนียม หรือห้องแถว”

            สำหรับเสียงตอบรับที่มีต่อ NIDA Poll ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ กล่าวว่า NIDA Poll ทำการวัดความนิยมของตัวเองเสมอโดยใช้วิธีการคิดจากมูลค่าสื่อของสื่อต่าง ๆ ที่นำผลโพลไปเผยแพร่เป็นปัจจัยหลัก ในส่วนของ NIDA Poll เอง มูลค่าสื่ออยู่ที่ราว 200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนับว่าสูงมากและถือเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กรโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยคาดว่าในปี 2566 มูลค่าสื่อของ NIDA Poll จะสูงขึ้นมากกว่าปีก่อน

            “Impacts ที่มีต่อสังคม คือ ประชาชนจำนวนมากจะรอดูผล NIDA Poll รวมถึงพรรคการเมืองและสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องความนิยมทางการเมืองในรายจังหวัด รายภาค และทั้งประเทศ เพราะความน่าเชื่อถือของผลสำรวจของเราที่มีความเป็นกลาง แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ ผมเน้นเสมอเรื่องความเป็นมืออาชีพ นอกจากระเบียบวิธีวิจัย เทคนิค โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ดีของเราแล้ว NIDA Poll ยังมีความเป็นกลางในการเก็บข้อมูล ยกตัวอย่าง ผู้เก็บข้อมูลของนิด้าโพลเองแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่า 14 พ.ค. นี้จะกาหมายเลขผู้สมัครและพรรคใด แต่ในการทำงานทุกคนต้องลงข้อมูลจริงตามที่ตัวอย่างตอบมา ทำให้ NIDA Poll มีความแม่นยำขึ้น และเริ่มแม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ซึ่งมีประชาชนติดตามโพลเกี่ยวกับความนิยมทางการเมืองรายไตรมาสที่ทำมาตั้งแต่ปี 2563 เป็นจำนวนมาก ว่าผลจะออกมาอย่างไร พลิกผันหรือไม่”

            ว่าด้วยโอกาสในการที่แต่ละพรรคจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 2566 ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ทิ้งท้ายไว้ว่า มีความมั่นใจในผลสำรวจอย่างต่อเนื่องของ NIDA Poll โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ กทม. ทั้ง 33 เขต ที่ NIDA Poll มีกลุ่มตัวอย่างที่เชื่อถือได้ว่าเป็นตัวแทนที่สะท้อนเสียงของประชากรทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

            “ปัจจัยภายนอกไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผลโพลเท่าใดนัก โดยปัจจัยที่จะทำให้พรรคนั้น ๆ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้มีอยู่สี่ปัจจัยหลัก หนึ่ง กระแส หรือโพลที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ สอง นโยบายพรรค สาม ตัวบุคคล เช่น เป็นบ้านใหญ่ เป็นผู้มีอิทธิพล เป็นอดีต ส.ส. หรือไม่ สี่ ทรัพยากรทางการเมือง สำหรับเขตเมืองของจังหวัดใหญ่ ๆ ปัจจัยสำคัญคือกระแสกับนโยบาย ส่วนนอกเขตเมืองออกไปผลโพลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ อย่างตัวบุคคลและทรัพยากรทางการเมือง ทั้งสี่ปัจจัยนี้ถ้ามีผลอย่างมีนัยสำคัญก็จะส่งผลต่อผลโพลของเราได้”

ที่มา : วารสาร NIDA Impacts ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม 2566)
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่