Thomas Berry นักประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมชาวอเมริกัน ได้กล่าวไว้ว่า “You cannot have well humans on a sick planet” ดังนั้นประเด็นท้าทายคือ พวกเราจะร่วมกันสร้างโลกให้น่าอยู่กว่าเดิม มีอนาคตที่สดใสกว่านี้ได้อย่างไร
คลื่นวิกฤติเชิงซ้อนโลกอาจเป็น Blessing in Disguise ที่ทำให้พวกเราต้องกลับมาช่วยกันขบคิด เพื่อสร้าง A Better World & a Brighter Future เพราะหากไม่มีวิกฤติโลก เราก็จะยังคงดำรงชีพและทำงานกันแบบเดิม ๆ (Business as Usual) การสร้าง A Better World & a Brighter Future ต้องเริ่มด้วย “ปัญญา” อันประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm) แนวคิดและปรัชญา (Philosophy)แพลตฟอร์มการขับเคลื่อน (Platform) ตลอดจนแนวทางปฏิบัติให้เกิดผล (PracticalSolutions)
– ปรัชญาของการพัฒนาสู่ความทันสมัยเชื่อว่า “The More, The Better”, “The Bigger, The Better” และ “The Faster, The Better” ในขณะที่การพัฒนาสู่ความยั่งยืนเชื่อว่า “The Better, The More”, “The Better, The Bigger” และ “The Better, The Faster”
นอกจากจะปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ คุณค่าและปรัชญาแล้ว เราจำเป็นจะต้องสร้างแพลตฟอร์มเพื่อบูรณาการหลักคิดต่าง ๆ ที่มีอยู่เข้าด้วยกันและขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติให้เกิดผล เมื่อเรามีหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นCommon Value ที่สอดรับกับพลวัตโลก เราจะต้องสร้าง Common Ground ที่เป็นแพลตฟอร์มที่จะแปลง Common Value ให้ออกมาเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะบรรลุ Common Goalsซึ่งก็คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs นั่นเอง
การที่เราจะไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้จริง ในทางปฏิบัติเราจะต้องช่วยกันสร้างให้คนไทยเป็น “พลเมืองโลกที่มีความรับผิดรับชอบ”(Global Engaged Citizen) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเชิงพฤติกรรมครั้งใหญ่ ควบคู่ไปกับการพัฒนา “ระบบธรรมาภิบาลที่มุ่งสู่ความยั่งยืน” (Sustainable System of Governance) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญหากไม่มีการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและพฤติกรรม Wisdom for Sustainable Development ก็จะไร้ความหมาย และหากไม่มีการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและพฤติกรรม การมุ่งเป้าหมายไปสู่ A Better World & aBrighter Future จะเป็นแค่เพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ
การสร้าง Global Engaged Citizen และการพัฒนา Sustainable System of Governance จึงเป็น 2 องค์ประกอบสำคัญในระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
การจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนได้นั้นหัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับเปลี่ยนคนไทยจาก Local Passive Citizen ไปเป็น Local Active Citizen ขยับไปสู่ Global Active Citizen และกลายเป็น Global Engaged Citizen ในที่สุด
ในขณะเดียวกันต้องสร้าง Sustainable System of Governance ที่ประกอบไปด้วย การสร้างสังคมที่ Clean & Clear, Free & Fair และ Care & Share เพื่อที่จะลดทอนหรือทำลายระบบอุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธิ์นิยม ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาที่มุ่งสู่ความยั่งยืนที่ยังคงฝังรากอยู่ในสังคมไทย โดยเราสามารถแปลงการสร้างสังคมที่ Clean & Clear, Free & Fair และ Care & Share ออกมาได้เป็น 6 วาระเชิงปฏิบัติการสำคัญ คือ
1) Accessibility & Affordability
2) Protection
3) Growth for People
4) Freedom
5) Opportunity
6) Fairness
ถึงเวลาเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง
ในปัจจุบันประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ซึ่งเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่มีระบอบประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ (ผ่านมาตรการประชานิยม) ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเป็นพลเมืองที่เฉื่อยชา การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการปรับเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Inclusive Political Economy ซึ่งเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่มีระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ระบบทุนนิยมที่เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ระบบเศรษฐกิจที่เน้นการแข่งขันที่เป็นธรรม และการมีสังคมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน
การสร้าง Global Engaged Citizen และการพัฒนา Sustainable System of Governance จะเป็น 2 Key Drivers สำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจาก Extractive มาเป็น Inclusive Political Economy อีกทั้งเป็นตัวเชื่อมโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองดังกล่าวเข้ากับการพัฒนาที่ยั่งยืนได้เป็นอย่างดี
กลไกขับเคลื่อน Inclusive Political Economy มีหลากมิติ ในมิติทางเศรษฐกิจคือ กลไกการเพิ่ม Size of Pie ผ่านการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเพิ่มผลิตภาพ ควบคู่ไปกับกลไกการเพิ่มShare of Pie ผ่านการกระจายโอกาสและเติมเต็มศักยภาพให้กับคนด้อยโอกาสและคนส่วนใหญ่ของประเทศ
– The Future of Education ที่จะไม่ใช่ School Based อีกต่อไป แต่เน้นการเรียนรู้จากโลกความเป็นจริงทั้งจากโลกกายภาพและโลกเสมือน รวมถึงต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ การศึกษา และการเรียนรู้ใหม่
จาก The School is My World ไปเป็น The World is My School
– The Future of Human Capitalizationภายใต้ The World is My School กระบวนการเรียนรู้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเป็น “4 E Model” ที่ต้องจุดประกายให้เยาวชนกล้าที่จะสำรวจสืบค้น (Exploring) ทดลองปฏิบัติ (Experimenting) เสริมสร้างประสบการณ์ (Experiencing) และแลกเปลี่ยนแบ่งปัน (Exchanging) ในทำนองเดียวกันต้องมี “4 L Model” ที่ต้องทำให้เยาวชนรักที่จะเรียนรู้ (Love to Learn) เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ (Learn to Learn) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่จะรอด (Learn to Live) เพื่อสร้างความเป็นตนผ่านการมี Head & Hand ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ที่จะรัก (Learn to Love) เพื่อสร้างความเป็นคนผ่านการมี Heart & Harmony
– The Future of Youth ในอดีตจวบจนปัจจุบันนโยบายและมาตรการต่าง ๆ มักจะคิดโดยคนรุ่นเก่าและทำโดยคนรุ่นเก่า หรือคิดโดยคนรุ่นเก่าเพื่อให้คนรุ่นใหม่ทำ จากนี้ไปเราต้องให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้คิดและได้ทำ หรือให้คนรุ่นใหม่ได้คิดเพื่อให้คนรุ่นเก่าทำ รวมถึงต้องเชื่อว่าเยาวชนคือ Future Changer ต้องสร้างเยาวชนให้เป็น Global Engaged Citizen และต้องผลักดันให้เยาวชนเป็น Soft Power Ambassador ซึ่งSoft Power ของประเทศไทยที่มีลักษณะโดดเด่น สามารถตอบโจทย์โลกหลังโควิด-19 ที่เต็มไปด้วยคลื่นวิกฤตเชิงซ้อนมากมาย ก็คือความสามารถในการเชื่อมโยงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ขับเคลื่อนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นั่นเอง
– The Future of Work การดำรงชีวิตจากนี้ไปไม่ได้เป็น Linear Life ที่เป็นการเรียนรู้และออกไปทำงานเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่เป็น Circular Life ที่ต้องเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิตไม่ได้จบอยู่แค่การเรียนรู้และการทำงานเพื่อให้มีชีวิตรอด รวมถึงจะต้องมีการปรับสมดุลระหว่างโอกาสและขีดความสามารถที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
– The Future of Industry อุตสาหกรรมจากนี้ไปจะต้องตอบโจทย์ความยั่งยืนและความเท่าเทียม ดังนั้นเราจะต้องเปลี่ยน
จาก Business as Economic Growth Engine ไปเป็น Business as Inclusive &Sustainable Growth Engine
จาก Competitive Mode of Production & Consumption ไปเป็น Responsible Mode of Production & Consumption
จาก Exploiting the Commons ไปเป็น Protecting the Commons
– The Future of Business เมื่อภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยน ภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับ
จาก Profit-Driven Business ไปเป็น Purpose-Driven Business มากขึ้น
จากมีเพียง Market Wisdom ไปเป็นมี Moral Wisdom ควบคู่ไปด้วย
จาก Doing Well Then Doing Good(ผ่าน CSR) ไปเป็น Doing Well By Doing Good (ผ่าน ESG)
จากมองแค่ Shareholder Value Creation ไปเป็นมอง Stakeholder Value Creation
จาก Financial Return ไปเป็น Economic & Social Returns
– The Future of Politics ทุกคนหนีไม่พ้นการเมือง โลกจากนี้ไปจะต้องทำให้เกิด “We are the 99%” โดยการปรับโครงสร้างจาก Extractive Political Economy ไปเป็น Inclusive Political Economy ด้วยการเปลี่ยน
จาก Vertical Power ไปเป็น Horizontal Power
จาก Democracy from Above ไปเป็น Democracy from Below
จาก Local Passive Citizen ไปเป็น Global Engaged Citizen